Thursday, November 28, 2013

The dimensions

ตาเราสามารถมองเห็นโลกเป็นภาพ 2 มิติ

     เมื่อเรามีตาสองข้างที่มองพุ่งตรงไปข้างหน้า และสมองเราสามารถตีความภาพ 2 มิติ ทั้งสองภาพให้รวมกันเป็นภาพเพียง 1 ภาพที่สามารถกะระยะแนวลึกได้ ทำให้เราเข้าใจภาพที่เราเห็นเป็น 3 มิติ

     มนุษย์เราพยายามอธิบายและศึกษาโลกในแนวสามมิติมาตลอดโดยเฉพาะในเชิงฟิสิกส์ แต่เรากลับพบว่ามันเป็นการอยากเหลือเกินที่จะอธิบายเพื่อหาคำตอบให้กับสมการ 3 ตัวแปร บ่อยครั้งเราจึงมักศึกษาลักษณะ 3 มิติโดยการ project ลงบนภาพ 2 มิติก่อน เพื่อให้เราสามารถเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น

แต่ความจริงแล้วโลกเราไม่ได้มีเพียง 3 มิติ

     เพียงแค่เราลองคิดเพิ่มไปอีก 1 มิติ คือ มิติที่เป็นมิติของเวลา มนุษย์หลายคนก็ไม่อาจจะทำความเข้าใจมันได้แล้ว บางทีอาจจะเข้าใจแต่ก็มักจะสับสน เมื่อเวลามีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างในมิตินั้นก็ย่อมเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ "ฉันอยากกินไอติม" เรื่องแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า "ฉันอยากกินไอติม" ตั้งแต่เมื่อวานนี้ หรือวันพรุ่งนี้ “ฉันอยากกินไอติม” อยู่เช่นเดิม เป็นต้น ในมิติของเวลาเช่นนี้ หลายคนชอบเลือกที่จะเก็บความทรงจำแบบ freeze มิติของเวลาเอาไว้ บางคนจึงผูกใจเจ็บเก็บความโกรธความไม่พอใจต่อบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ ในขณะที่ก็มีบางคนที่เชื่อมั่นในความดีของบางสิ่งบางอย่างเสียจนไม่ลืมหูลืมตา

นี่ยังไม่ได้พูดถึงมิติทางความคิด ความรู้สึกเลยนะเนี่ยะ

     ในขณะที่มนุษย์เราพยายามปรับความเป็นจริงหลายมิติ โดย project เพื่อลดมิติลงเรื่อย ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่นั่นกลับทำให้สิ่งที่เราเข้าใจก็ไกลจากความเป็นจริงขึ้นทุกที

เมื่อไรเขาจะเลือนไปและเมื่อไรฉันจะอยู่ ...ในมิติของเธอ

Saturday, November 9, 2013

Miss you so much : ECO

 

คิดถึงจังเลย

Saki

น้องคู และ さきちゃん

Sunday, October 27, 2013

จากน้องกี้ผู้น่ารัก

คนน่ารัก

ทำอะไรก็น่ารัก

FromNKie

เนอะ !!!

ขอบคุณนะ (^^)

Tuesday, September 24, 2013

สังคม-ตลาด-หมูปิ้ง-เพลงชาติ

     ณ ตลาดแห่งหนึ่งที่มีผู้คนพลุกพล่านในยามเช้า บางคนกำลังอยู่ระหว่างการมุ่งหน้าเดินทางไปทำงาน บางคนก็กำลังออกมาเดินจ่ายตลาดอย่างแม่บ้านทั่วไป ร้านแผงลอยเนืองแน่นเต็มสองข้างทาง บ้างก็เกยเลยล้นออกมาเบียดกินถนนไปหนึ่งเลนจนทำให้รถราที่วิ่งผ่านเส้นทางนี้ต้องชะลอความเร็วลง ภาพบรรยากาศเช่นนี้ทำให้ตลาดที่ดูจ้อกแจ้กจอแจยิ่งดูเนืองแน่นขึ้นไปอีก พ่อค้าแม่ค้าแข่งกันตะโกนเรียกลูกค้า ตั้งแต่ร้านขายข้าวแกงปากทางเข้าตลาด ร้านขายขนมที่อยู่ข้าง ๆ กัน ปาท่องโก๋ โรตีสายไหม และร้านเค้กที่ดูน่าอร่อย ต่างส่งเสียงเชิญชวนและส่งกลิ่นยั่วยวนตลอดทาง
    
ฉันเดินเลี่ยงตลาดออกมาใช้อีกเส้นทางหนึ่งที่ขนานกัน ในวันอาทิตย์ที่ผู้คนบางตา ทางเดินนี้จะแลดูแคบกว่าทางเดินในตลาด แต่ในวันทำงานทั่วไป ทางเดินนี้กลับดูกว้างขวางและผู้คนก็สามารถเดินสวนกันได้สบายกว่าทางเดินในตลาดมาก บนเส้นทางนี้ดูเหมือนทุกคนต่างก็เร่งรีบ ฉันคิดว่าคนที่ใช้เส้นทางนี้คงเป็นเพียงแค่คนสัญจรผ่านตลาดเท่านั้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายจะเที่ยวชมหรือแวะซื้อของในตลาด ทั้งสองเส้นทางได้แบ่งแยกผู้คนออกเป็นสองกลุ่มโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีป้ายบอก
     เส้นทางขนานตลาด “สายเร่งรีบ” นี้ไม่ค่อยมีของขาย จะมีก็เพียงแค่ร้านน้ำมะพร้าวสดที่ขายเคียงกับร้านน้ำส้มคั้นสด ผู้คนที่เร่งรีบเดินผ่านโดยแทบจะไม่มีคนให้ความสนใจร้านค้าทั้งสอง แต่ถัดไปอีกเพียงประมาณสี่ถึงห้าเมตร มีร้านขายหมูปิ้ง ร้านนี้กลับไม่เงียบเหงาเหมือนร้านขายน้ำที่ฉันเพิ่งเดินผ่านมา
     คนเดินผ่านไปผ่านมาแวะซื้อหมูปิ้งคนละสองสามไม้ บ้างก็ซื้อข้าวเหนียวด้วย ฉันคิดว่าหมูปิ้งสามารถจัดเป็น Fast Food แบบไทย ๆ ได้เลย เพราะขายคล่องมากบนทางเดินเส้นนี้ ตรงนี้อาจจะเป็นข้อคิดได้สำหรับคนที่สนใจธุรกิจได้ไม่มากก็น้อย แต่เรื่องที่ทำให้ฉันต้องเก็บมาคิดในวันนี้ มันเกิดขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก

“ธงชาติและเพลงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจยืนตรงเคารพธงชาติ
ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราชและความเสียสละของบรรพบุรุษไทย”

     หลังสิ้นเสียงเกริ่นนำ ฉันก็เดินมาถึงหน้าร้านขายหมูปิ้งพอดิบพอดี ฉันหยุดเดินและหันหน้าไปในทิศของต้นเสียง แม้ว่าฉันจะไม่เห็นเสาธงสักต้น แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันกำลังจะยืนตรงเคารพธงชาติที่กำลังจะถูกชักขึ้นสู่ยอดเสาที่ไหนสักแห่ง
     ภายใต้สภาวะที่ฉันกำลังหยุดนิ่งเพื่อเคารพสิ่งที่ฉันเรียกว่า “ชาติ” บรรยากาศรอบตัวกลับกำลังตกอยู่ในห้วงความรู้สึกสุดประหลาด ผู้คนอีกหลายคนกำลังสอดส่ายสายตาในเชิงประเมินว่าเขาควรทำตัวเช่นไร เขาควรจะหยุดยืนตรงหรือไม่ หรือเขาควรจะเดินต่อไปในเส้นทางสายเร่งรีบ เพื่อให้เส้นทางสายนี้ยังคงดูเร่งรีบเช่นเดิม บรรยากาศวัดใจเช่นนี้เกิดขึ้นในช่วงท่อนที่หนึ่งและสองของบทเพลง และหลังจากนั้น ทุกคนก็หยุดเดิน แม้จะดูไม่ค่อยสงบนิ่งสักเท่าไรแต่ถนนเส้นนี้ รวมไปถึงในตลาด ก็แลดูจะหยุดนิ่งเพื่อชาติเป็นเวลาหนึ่งบทเพลง
     ช่วงเวลาหนึ่งบทเพลงที่ทุกคนเสียสละเวลาส่วนตัว เพื่อเวลาของชาติ ฟังดูแล้วก็ดูยิ่งใหญ่ทีเดียว แม้ว่าฉันไม่แน่ใจนักว่าผู้คนที่เร่งรีบเหล่านั้นเขาเต็มใจที่จะเสียสละเวลานี้หรือไม่ ภายในหนึ่งบทเพลงใช้เวลาไม่น่าเกินหนึ่งนาที หมูปิ้งบางไม้ที่วางอยู่บนเตาไม่อาจจะทนความร้อนได้นานขนาดนั้น มันเริ่มไหม้ คนขายหมูปิ้งยืนมองเหมือนรู้ว่ามีไม้ไหนจะไหม้แล้วบ้าง แต่เขาก็ไม่เอื้อมมือไปพลิกหมูไม้นั้น เขายังคงยืนตรงสงบนิ่งให้จนบทเพลงแสดงความเป็นชาติเพลงนั้นจบลง เขาจึงเอื้อมมือไปคว้าหมูปิ้งที่ไหม้ทิ้งไป ฉันมองด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง

     บางที การปล่อยให้หมูปิ้งไหม้ทิ้งไป มันก็ดูเป็นการกระทำที่โง่เขลา

     บางที เพียงแค่เขาเอื้อมมือมาจัดการพลิกมักสักไม่กี่วินาที ก็คงไม่เสียของ

     บางที การเสียหมูปิ้งไปนั้น ก็อาจนับเป็นการเสียสละเพื่อชาติก็ได้

     แม้ว่าผู้คนจะเร่งรีบ
     แม้ว่าฉันจะไม่มั่นใจว่าเขาเต็มใจจะเสียสละเวลาหนึ่งบทเพลงเพื่อชาติหรือไม่
     แต่ฉันมั่นใจว่า ก็ยังมีคนที่ภาคภูมิใจและพร้อมจะเสียสละเพื่อชาติได้
    
แม้บางทีมันอาจจะดูไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ก็ตาม

เป็นห่วงนะ

“มาไม่สบายตอนช่วงสอบนี่มันลำบากอยู่เหมือนกันนา”
“พี่รู้ใช่ไหมว่าหนูกำลังไม่สบาย”
“รู้สิ ก็เห็นบ่นอยู่ว่าหนาว ๆ ลุกไม่ไหว”
“ถึงภาษาหนูจะอ่อนอยู่บ้าง แต่ก็มีคนคิดว่าหนูขี้เกียจ”
“อีกอย่าง พี่ก็เห็นน้องว่ามีอาการตั้งแต่เมื่อวานแล้วนิ”
“ง่า รู้ได้ไง?”
“ก็เห็นว่าน้องบ่น ๆ อยู่นะ ว่ารู้สึกป่วย ๆ อะไรอย่างนี้”
“อื้อ เป็นไข้ทับฤดูน่ะ พี่รู้จักไหม?”
“ครับ รู้จักครับ”
“ทรมานแท้ นี่หนูกำลังจะงีบ แล้วจะลุกมาอ่านหนังสือต่อ”
“นอนห่มผ้าอุ่น ๆ นะน้อง มีถุงน้ำร้อนมานอนกอดด้วยก็จะดี”
“ค่ะ”
“แล้วมียาพอนสแตนกินไหมอ่ะน้อง”
“ไม่มีค่ะ ฮือๆๆ”
“งั้นก็อดทนหน่อยนะน้อง พักผ่อน หายไว ๆ . . . จริง ๆ ถ้าให้พี่เลี้ยงหายามาให้กินด้วยก็น่าจะดีนะ ช่วงสอบนี่ถ้าต้องอ่านหนังสือด้วย พี่เป็นห่วงว่าจะไม่ไหว”
.
.
.

Friday, September 13, 2013

วันนี้มีเรื่องปกติ

เช้านี้ไม่มีแดด

     แม่บ้านคนหนึ่งตื่นขึ้นมาซักผ้า ทำหน้าที่ดูแลบ้านและรับผิดชอบเรื่องในบ้านทั้งหมด ในขณะที่สามีออกไปทำงานนอกบ้านและจะกลับมาบ้านหลังตะวันตกดินในตอนเย็น ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติที่สุดตลอดทั้งเช้า

เว้นแต่เพียงว่า เช้านี้ไม่มีแดด
.
.
.

บ่ายนี้ฝนกำลังตก

     ชายคนหนึ่งกำลังนั่งมองฝนตกริมหน้าต่างที่ร้านกับข้าวแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับบริษัทที่เขาทำงานอยู่ เพียงข้ามถนนเท่านั้นเขาก็สามารถกลับไปทำงานต่อได้ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้พกร่มมา เขาจึงได้แต่มองฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ภายในช่วงเวลาพักกลางวัน
     อีกห้านาทีจะบ่ายโมงแล้ว เขาต้องรีบกลับไปบริษัทก่อนที่เขาจะเข้าทำงานรอบบ่ายสายเกินไป แต่ฝนก็ยังไม่หยุดตก บางทีเขาควรจะขอยืมร่มจากร้านกับข้าวแล้วเดินกลับไปที่บริษัทก่อน จากนั้นก็หยิบยืมร่มจากเพื่อนในบริษัทเพื่อถือร่มของร้านกับข้าวมาคืน แต่เขามีเวลาเพียงห้านาที ชายคนนั้นตัดสินใจขอยืมร่มของร้านกับข้าวเพื่อกลับบริษัทให้ทันเวลางาน
     ร้านกับข้าวใจดีบอกว่าไว้ค่อยเอาร่มมาคืนหลังเลิกงานก็ได้ ทุกอย่างที่บริษัทดำเนินไปได้อย่างปกติตลอดทั้งบ่าย

เว้นแต่เพียงว่า บ่ายนี้ฝนกำลังตก
.
.
.

เย็นนี้การจราจรติดขัด

     ตำรวจจราจรในชุดกันฝนสีส้มสว่างสดใสกำลังเดินท่ามกลางสายฝนบริเวณสี่แยกแห่งหนึ่ง เขาโบกไม้โบกมือกวักเรียกกลุ่มรถจากทางหนึ่งให้วิ่งไปอีกทางหนึ่ง ในขณะที่ต้องห้ามรถอีกฝูงที่กำลังจะวิ่งตัดเส้นทางกัน
     โชคดีที่วันนี้ฝนตก ควันพิษจากรถแต่ละคันถูกสายฝนชะลงบนพื้นถนน แม้ว่าจะเฉอะแฉะอยู่บ้าง แม้ว่าการทำงานของเขาจะลำบากกว่าเดิมเพราะถนนแออัดกว่าปกติ
     เขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเรื่องของฝนบนฟ้ามันเกี่ยวกับการจราจรได้อย่างไร แต่เขาก็ได้ออกมาทำหน้าที่ตามปกติ ดูแลหนึ่งในทางแยกที่มีอยู่นับพันในเมืองนี้ ไม่มีอุบัติเหตุ ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติแม้ว่าฝนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เว้นแต่เพียงว่า เย็นนี้การจราจรติดขัด
.
.
.

คืนนี้ไม่ต้องเปิดแอร์

     เด็กชายวัยเก้าขวบกำลังจะเข้านอนตอนสองทุ่มครึ่ง เขาเพิ่งทำการบ้านเสร็จเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน คุณครูให้การบ้านทุกวัน วันนึงประมาณสามถึงสี่วิชา เด็กชายนั่งทำการบ้านตั้งแต่อยู่บนรถยนต์ที่มีคุณพ่อเป็นคนขับ รถติดนิ่งอยู่หลายนาที เด็กชายเขียนหนังสือบนรถได้อย่างสบายใจ ในขณะที่คุณพ่อมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
     กว่าจะถึงบ้าน การบ้านของเด็กชายก็เสร็จไปถึงสองอย่างแล้ว เด็กชายกลับถึงบ้านก็นั่งทำการบ้านต่อ ในขณะที่คุณแม่ก็จัดเตรียมอาหารเย็นไว้พร้อมแล้ว เด็กชายกินไปทำการบ้านไป แอบอู้ดูโทรทัศน์บ้าง กว่าจะเสร็จก็สองทุ่มเข้าไปแล้ว หลังจากการบ้านเสร็จ เด็กชายก็อาบน้ำ แปรงฟัน และเข้านอนก่อนสามทุ่มจนได้ ห้องนอนเย็นสบาย ฝนยังไม่หยุดตก แค่เปิดพัดลมเบา ๆ ก็นอนหลับสบายดีแล้ว
     วันนี้ฝนตกทั้งวัน แต่กิจวัตรทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติดี ได้ดูโทรทัศน์ที่ตัวเองชอบ และการบ้านก็เสร็จเรียบร้อย

เว้นแต่เพียงว่า คืนนี้ไม่ต้องเปิดแอร์
.
.
.
.
.

ราตรีนี้ฉันฝันถึงเธอ

     ทุก ๆ วัน ฉันใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่แต่ละวันควรจะเป็น ทุกอย่างสำเร็จตามเป้าหมาย เร็วกว่ากำหนดบ้าง ช้ากว่ากำหนดบ้าง แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดูปกติที่สุดเหมือนในทุก ๆ วัน

เว้นแต่เพียงว่า ราตรีนี้ฉันฝันถึงเธอ

Wednesday, April 17, 2013

ฮิเดโกะ Ost.คู่กรรม 2013

日出子

君にすれば 決してありえない
出来事だったろう 僕を受け入れることは
でもどこかで 僕ら出会ってた
たとえばそういつかの夢の中で

誰もが気持ちに訳を問いたがるけど
今あげたいのは理由のない素直なココロ

どんな言葉でも表せない この僕の愛
たまには言い過ぎたり することもあるけど

それは僕なりにこの愛を確かめたいだけ

僕はもう理由などいらない
君はまだ迷ってるのかな
ただ伝えたい想い 他には何もいらない

誰もが気持ちに訳を求めるけれど
今聞きたいのは理由のない素直なコトバ

どんな言葉でも表せない この僕の愛
たまには言い過ぎたり することもあるけど

それは僕なりにこの愛を確かめたいだけ

僕はもう理由などいらない
君はまだ迷ってるのかな
ただ伝えたい想い 他には何もいらない

Sunday, March 24, 2013

Conceptual Art

          งานศิลปะที่ฉันประทับใจที่สุด ฉันค้นพบมันในวันเงียบๆ วันหนึ่ง เป็นศิลปะสามมิติที่โชว์อยู่ในลานดินโล่งๆ มันเป็นท่อนเหล็กที่โผล่พ้นดิน สูงประมาณคืบเดียว มีป้ายเล็กๆ เขียนบอกความยาวของท่อนเหล็กที่ยาวเกือบสองเท่าของความสูงคนทั่วไป งานชิ้นนี้มีเพียงเท่านี้

ฉันมองมันและปล่อยให้จิตฟุ้งไปไร้ขอบเขต
ภาพงานศิลปะอันน่าทึ่งปรากฏเบื้องหน้าช้าๆ . . .

         ชายคนหนึ่งนำท่อนเหล็กทรงกระบอกกลมเกลี้ยงมายังลานดินโล่งๆ ท่อนเหล็กนั้นมีขนาดเพียงสองฝ่ามือคนกำรอบพอดี แต่ความยาวของมันยาวราวสามเมตร เขาจับมันตั้งขึ้น แล้วเริ่มกดมันลงสู่พื้นดิน ท่อนเหล็กแทรกตัวแหวกพื้นดินทีละนิด เขาค่อยๆ กดมันลงไปเรื่อยๆ ยิ่งท่อนเหล็กฝังตัวลงลึกเพียงใด เขายิ่งต้องออกแรงมากขึ้นเท่านั้นประหนึ่งตนเองกำลังต่อสู้กับโลกทั้งใบด้วยเข็มเล่มเล็ก จากแรงดันเปลี่ยนเป็นทุ่มทั้งน้ำหนักตัวทิ้งลงไป และเปลี่ยนเป็นการตอกด้วยค้อน ชายหนุ่มใช้เวลาหลายวัน ท่อนเหล็กตากแดดตากฝน ส่วนที่ยังพ้นพื้นดินกว่าหนึ่งเมตรมีสนิมที่แดงฝุ่นเกาะกลัง เขายังคงทำมันต่อไป จนกระทั่งท่อนเหล็กจมลึก เหลือส่วนที่พ้นดินยาวไม่ถึงสิบเซนติเมตร ... เขาทิ้งไว้เพียงเท่านี้ เขาทำงานของเขาเสร็จแล้ว

          ภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ย้ำชัดกับฉันถึงความยิ่งใหญ่ของงานศิลป์ จินตนาการที่บังเกิดขึ้นชัดเจนยิ่งกว่าภาพที่เห็นเบื้องหน้า บางทีเมื่อฉันกลับมามองงานชิ้นนี้อีกครั้ง ด้วยจิตที่ฟุ้งไปในทิศทางอื่น ฉันอาจจินตนาการเห็นถึงเนื้อดิน กรวด ก้อนหิน หรือแม้แต่ซากไดโนเสาร์ที่เหล็กท่อนนี้แทรกผ่าน

Tuesday, February 26, 2013

ศนันธฉัตร

ฉันชอบสีฟ้า ฉันชอบท้องฟ้า และฉันเกลียดความร้อน
ฉันก็เลยรักฝน เพราะฝนตกลงมาจากฟ้า
ช่วยบรรเทาความร้อนระอุลงไปได้มาก

แต่ฉันก็ไม่เคยบอกรักฝนนะ
ฉันกลัวว่าฝนจะตอบแทนความรักของฉันจนทำให้ฉันเปียกปอน
ฉันอาจจะไม่สบายเพราะเธอก็ได้

แปลกดีนะ ฝนที่ฉันรัก เมื่อสัมผัสกับพื้นก็เป็นเพียงแค่น้ำที่เจิ่งนอง
ฉันไม่ชอบเดินบนพื้นเฉอะแฉะ
ฉันเกลียดน้ำพวกนั้น ถึงแม้ว่าน้ำพวกนั้นจะเคยเป็นฝนที่ฉันรัก

ฉันทำให้ฝนเสียใจหรือเปล่านะ
ฉันขอโทษ
ไม่ว่ายังไง ฉันก็มั่นใจนะ ว่าฉันรักฝน

Monday, February 18, 2013

นิทานดอกไม้

        กาลครั้งหนึ่ง… ในยามเช้าอันแสนสดใส
        เพิ่งจะผ่านต้นปีมาได้เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ดอกไม้ดอกหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นเป็นครั้งแรก จริงๆ แล้วไม่ใช่เพียงแค่ดอกไม้นั้นเพียงดอกเดียว ยังมีดอกไม้อีกหลายดอกที่ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมๆ กัน

        สวนนี้ถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วน ดอกไม้หลากสีถูกแยกกันอย่างเป็นระเบียบ แปลงข้างๆ เป็นดอกไม้สีขาวบริสุทธ์ อีกข้างหนึ่งเป็นดอกไม้สีแดงสดใส ดอกไม้ดอกแรกที่เรากำลังพูดถึง กำลังยิ้มร่าให้กับความงามรอบตัว เจ้าดอกไม้ไม่สามารถมองเห็นตัวเองได้ว่าตนเองเป็นสีอะไร แต่มันก็พอจะเดาๆ ได้จากดอกไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ในเมื่อสวนเป็นสัดส่วนเช่นนี้ ตัวมันก็ย่อมต้องเป็นสีเดียวกับดอกไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นแน่ ดอกไม้รอบตัวต่างสูงสง่า เป็นสีชมพูสวยงาม เจ้าดอกไม้จึงมีความภาคภูมิใจ แม้ไม่ได้เห็นความงามของตนเอง

        ยามสาย… ผู้คนในเมืองต่างเริ่มกรูกันเข้ามาในสวนแห่งนี้
        แน่นอนว่าแปลงที่เจ้าดอกไม้อยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยสีชมพูตระกานตา เป็นแปลงดอกไม้ที่มีผู้คนรายล้อมมากที่สุด เจ้าดอกไม้ยิ้มหน้าบานกว่าเดิม รับกับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง

"ผมขอซื้อกุหลาบชมพูหนึ่งดอกครับ" เสียงหนุ่มชาวเมืองหน้าตาดี หนึ่งในผู้คนที่มาที่สวนนี้เพื่อชมความงามของดอกไม้พูดขึ้น ทันใดนั้นเอง ชายชราคนหนึ่งคว้าหมับเอาดอกไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วใช้กรรไกรตัดฉิบเข้าให้ พลันดึงร่างไปห่อด้วยกระดาษสีสวย

เจ้าดอกไม้ตื่นตกใจ "เขาตัดพวกเราไปทำไม ยืนชมเราอยู่เช่นนี้มิได้หรือ"
"ใช่ๆ นี่เราเพิ่งลืมตาดูโลกนี้ยังไม่พ้นวันเลยนะ คนใจร้าย คนใจร้าย"

เสียงกร่นด่ามิได้ดังไปกว่าแรงลม ชายชรายังคงเดินขวักไขว่ ใช้กรรไกรคมกริบเดินไล่ปริดชีวิตร่างดอกไม้ในแปลงดอกแล้วดอกเล่า

        โชคดี… ที่ผ่านพ้นหนึ่งวัน เจ้าดอกไม้ดอกน้อยยังคงรอดชีวิตมาได้ แต่ค่ำคืนที่แสนยาวนาน ไม่ได้ชวนให้จิตใจสงบลงได้เลย

"พรุ่งนี้ฉันจะรอดไหมนะ" เจ้าดอกไม้น้อยคิด
"พวกเขาจะเอาร่างของเราไปทำไมกัน บางทีความงามของกระดาษที่ห่อ ยังงดงามกว่าซากศพพวกเราเป็นไหนๆ"

มีเสียงตอบดังมาจากที่สูง "เพราะพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์น่ะสิ พวกนั้นเขาเอาความงามของกุหลาบพวกนั้นไป เพื่อแทนความรักของเขา" เจ้านกฮูกผู้รอบรู้ที่บินมาเกาะคอนนั่นเองที่เป็นผู้ไขปัญหาให้เจ้าดอกไม้

"ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ร่างไร้วิญญาณจะไปแสดงความรักได้อย่างไร" เจ้าดอกไม้น้อยยังคงครุ่นคิดอย่างน้อยใจ

นกฮูกจึงตอบกลับ "ประเพณีที่สวยงาม วัฒนธรรมที่สร้างขึ้น ไม่เคยยุติธรรมกับผู้ใด . . . เจ้าก็เห็นใช่ไหมว่าชายชราเหล่านั้นดูแลดอกไม้ได้งดงามเช่นไร หากดอกไม้เหล่านั้นไม่มีคุณค่า พวกนั้นก็ถูกหนอนทำลายเว้าแหว่งไม่สวยเช่นทุกวันนี้" เมื่อพูดจบ เจ้านกฮูกก็บินหายไปในความมืด

        ค่ำคืน… มีแต่เสียงหรีดเรไรระงม เจ้าดอกไม้นอนไม่หลับ แต่มิใช่เพราะเสียงร้องของแมลงน่ารำคาญเหล่านั้น

        เช้าวันรุ่งขึ้น… พระอาทิตย์ขึ้นแจ่มใสเหมือนเมื่อวาน แต่หัวใจของเจ้าดอกไม้มิได้เบิกบานเหมือนเก่า เช้านี้ผู้คนในเมืองมากันเช้าตรู่ ชายชรายังคงออกมาคร่าชีวิตดอกไม้ที่เขาปลูกเองต้นแล้วต้นเล่า เจ้าดอกไม้เงยหน้ามองเพื่อนๆ ในแปลงถูกดึงออกไป วันนี้ชาวเมืองบางคนสั่งดอกไม้มากมายขนาดที่ชายชราต้องตัดไปเป็นช่อใหญ่ ร่างไร้วิญญาณของดอกไม้หลากสีถูกมัดรวมกัน และห่อด้วยกระดาษสวยงาม

"นั่นเพียงเพื่อแสดงความรักอย่างนั้นหรือ?"  เจ้าดอกไม้น้อยสะอื้น บัดนี้รอบตัวของเจ้าดอกไม้ไม่เหลือกุหลาบชมพูอีกแล้ว มันคงเหลือเพียงดอกสุดท้ายในแปลงนี้ หากมีเพียงใครสักคนเดินมาสั่งซื้อ ชายชรานั่นต้องมาตัดมันออกอย่างแน่นอน

เจ้าดอกไม้ปลงตก หลั่งน้ำตา

แต่น่าแปลก ตลอดบ่ายนั้นกลับไม่มีใครสั่งกุหลาบชมพูอีกเลย ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดี โชคคงเข้าข้างเจ้าดอกไม้กระมัง และโชคคงเข้าข้างซ้ำสองเมื่อมีหยาดฝนโปรยลงมาเบาๆ ยามบ่ายแก่ๆ น้ำฝนที่โปรยปรายลงมาช่วยชะล้างน้ำตาและความเศร้าหมองของเจ้าดอกไม้ได้ดี เจ้าดอกไม้ภาวนาให้ฝนช่วยโปรยปรายอย่างนี้ไปจนหมดวัน แต่แม้แต่ธรรมชาติก็ไม่เข้าข้างเจ้าดอกไม้

ฝนที่ตกนั้นซาลง แสงสว่างจากพระอาทิตย์ก็สาดส่องอีกครั้งบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝนเจิ่งนองในแปลง
"สวัสดีค่ะ คุณตา" มีเสียงเด็กน้อยเดินเข้ามาใหม่ในสวน ส่งเสียงเริงร่า
เจ้าดอกไม้มองตาม เด็กน้อยสายตาดีหันมาสบตาเจ้าดอกไม้อย่างจัง "อย่าสั่งฉันเลยนะ อย่าเอาฉันไปแทนความรักของเธอ" เจ้าดอกไม้ได้แต่ภาวนาผ่านสายลมหลังฝนที่พัดมาเอื่อยๆ เหมือนกับว่าเด็กน้อยจะได้ยิน เด็กน้อยวิ่งเข้ามาใกล้ สบตากันกับเจ้าดอกไม้ และส่งยิ้มให้ดอกไม้ ช่างเป็นความอบอุ่นบนความกลัวของดอกไม้เหลือเกิน

"คุณตาขา หนูขอดอกไม้ดอกนี้ได้มั้ยคะ" เป็นประโยคที่เจ้าดอกไม้ไม่อยากจะได้ยิน

เจ้าดอกไม้ร่ำไห้ในวินาทีนั้น

"เอาไปสิ เด็ดออกไปได้เลยนะ ...นั่นไม่ใช่ของขายของตาอยู่แล้ว" นับตั้งแต่ที่เจ้าดอกไม้ร่ำไห้ และก้มหน้าลง เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนพื้นที่มีน้ำเฉอะแฉะหลังฝนตก มันมิได้มีสีชมพูเหมือนดอกไม้อื่นๆ ที่ร่วมแปลง มันเป็นเพียงดอกไม้สีขาวเล็กๆ ดอกหนึ่งเท่านั้น เจ้าดอกไม้เพิ่งได้ตระหนักคิด

…มิน่าเล่า มันจึงเหลือเป็นเพียงดอกสุดท้าย
…มิน่าเล่า มันจึงได้แต่เงยหน้ามองดอกไม้
ดอกแล้วดอกเล่าถูกตัดออกไป ที่ต้องเงยหน้าเพราะมันเป็นเพียงดอกไม้เล็กๆ ไม่ได้เชิดก้านสูง และอาจจะไม่ได้สวยงามอย่างที่มันเคยภาคภูมิใจ แถมยังไม่มีค่าที่จะขายได้ด้วยซ้ำ อย่างไงก็ตาม มันก็คงจะถูกเด็ดออกไปในไม่ช้านี้อยู่ดี มือน้อยๆ ของเด็กหญิงจับก้านดอกไม้แน่น แล้วค่อยๆ ดึงออก ...ดึงออกทั้งราก เจ้าดอกไม้ใจสั่น นึกลาโลก

ฉับพลันนั้นเอง เจ้าดอกไม้ก็ได้หย่อนรากลงในดินอีกแห่งหนึ่ง ในหมวกใบเล็กๆ ของเด็กหญิงคนนั้นนั่นเอง เด็กหญิงไม่ได้เด็ดดอกไม้ไป แต่เขาได้พาดอกไม้ไปด้วยกันต่างหาก เด็กหญิงนำเจ้าดอกไม้สีขาวที่คิดว่าตัวเองไร้ค่ากลับบ้าน ส่งให้คุณแม่ และบอกรักแม่ ในวันวาเลนไทน์ ด้วยดอกไม้สีขาวเล็กๆ หนึ่งดอก ที่เด็กน้อยได้มาฟรีๆ จากสวนคุณตาขายดอกไม้

คุณแม่ยิ้มรับด้วยความภูมิใจ เจ้าดอกไม้น้อยถูกนำกลับไปโตในกระถางเล็กๆ มันรู้ตัวว่ามันเป็นเพียงดอกไม้เล็กๆ ไม่มีค่าให้คุณตาขาย ไม่สวยงามพอที่จะถูกห่อด้วยกระดาษสีสวย มันเดินทางมาถึงที่นี่ในหมวกใบเล็กๆ จากรอยยิ้มอันอบอุ่นของเด็กตัวเล็กๆ ที่พบกันครั้งแรกที่แปลงดอกไม้ สถานที่ที่ให้กำเนิดเจ้าดอกไม้ขึ้นมา มันได้เดินทางผ่านมือน้อยๆ ที่คอยดูทะลุถนอมมันด้วยหมวกใบเล็กๆ และลงสู่กระถางที่บ้านอันอบอุ่นนี้

        กาลครั้งนี้… แม้เจ้าดอกไม้จะรู้ว่ามันเกิดมาไม่สวยงาม เคยรู้สึกหดหู่ เคยรู้สึกไร้ค่า แต่อย่างน้อย มันก็เป็นตัวแทนของความรักจากเจ้าหญิงตัวเล็กๆ ในบ้านหลังนี้ ในกาลครั้งนี้ เจ้าดอกไม้กลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีค่าไม่ต่างจากเพื่อนๆ กุหลาบชมพูแสนสวย ที่ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมๆ กัน

เลนจักรยาน

ฉันเคยสนทนากับคุณพ่อเกี่ยวกับเลนจักรยาน

ฉัน: เลนจักรยานก็มีแล้ว แต่ไม่เห็นจะใช้ได้สักที่นึงเลยนะพ่อ
พ่อ: ไม่รู้จะตีเส้นขึ้นมาทำไม ถนนก็แคบอยู่แล้ว เนี่ยะ! แคบลงไปอีก
ฉัน: เขาคงตีไว้ให้รถมอเตอร์ไซค์วิ่งล่ะมั้ง
พ่อ: ไม่หรอก มอเตอร์ไซค์มันไม่วิ่งชิดซ้ายช่องในหรอก มันวิ่งเลนนอกทางขวาโน่น
ฉัน: ก็จริงของพ่อนะ …ดูโน่นสิ มีรถยนต์จอดทับเลนจักรยานด้วย
พ่อ: เขาก็จอดปกติของเขาน่ะแหละ
ฉัน: อ่าว! อย่างนี้ถ้ามีคนปั่นจักรยานมา เขาก็ต้องอ้อมรถที่จอดอยู่ มาวิ่งนอกเลนจักรยานงี้หรอ?
พ่อ: ก็วิ่งขึ้นฟุตบาทไปก็ได้
ฉัน: ฮ่าๆๆ คนขี่จักรยานผู้น่าสงสาร
พ่อ: ไม่เป็นไรหรอก...ไม่มีคนขี่จักรยานอยู่แล้ว

.

.

.

ฉัน: ว่าแต่ว่า ถ้าเขาจอดทับเลนจักรยานกันแบบนี้ ตำรวจจราจรถือว่าผิดป่าวอ่ะ?
พ่อ: จราจรเขาไม่สนเลนจักรยานอยู่แล้ว ดูสีที่ฟุตบาทเท่านั้นแหละ มีขาวแดงก็ห้ามจอด แค่นั้นแหละ
ฉัน: อ้าว แล้วงี้จะทำเลนจักรยานมาทำไมอ่ะ
พ่อ: กทม. มันทำ ตำรวจจราจรไม่รู้เรื่อง
ฉัน: ฮ่าๆๆๆ แล้วงี้ถ้าคนเห็นเลนจักรยานแล้วจอดแบบเว้นเลนจักรยานล่ะ เขาถือว่าผิดป่ะ?
พ่อ: ก็คงโดนใบสั่งแหละ
ฉัน: อ้าว! เขาอุตส่าห์เว้นไม่ทับเลนจักรยานอ่ะนะ ไหงไปออกใบสั่งปรับเขาล่ะ
พ่อ: ก็ถือว่าจอดรถกีดขวางการจราจร
ฉัน: เวร!!! แล้วงี้มีเลนจักรยานไว้ทำป๊ะอะไรเนี่ยะ
พ่อ: กทม. ตีเลนเพิ่มเอง กฎจราจรไม่ได้เปลี่ยนไปด้วยหรอก ตำรวจจราจรเขาก็ใช้กฎเดิมของเขา
ฉัน: เยี่ยม! ขอบคุณประเทศไทย ฮ่าๆๆ

(หมายเหตุ คุณพ่อของฉันเป็นตำรวจ)