Tuesday, February 26, 2013

ศนันธฉัตร

ฉันชอบสีฟ้า ฉันชอบท้องฟ้า และฉันเกลียดความร้อน
ฉันก็เลยรักฝน เพราะฝนตกลงมาจากฟ้า
ช่วยบรรเทาความร้อนระอุลงไปได้มาก

แต่ฉันก็ไม่เคยบอกรักฝนนะ
ฉันกลัวว่าฝนจะตอบแทนความรักของฉันจนทำให้ฉันเปียกปอน
ฉันอาจจะไม่สบายเพราะเธอก็ได้

แปลกดีนะ ฝนที่ฉันรัก เมื่อสัมผัสกับพื้นก็เป็นเพียงแค่น้ำที่เจิ่งนอง
ฉันไม่ชอบเดินบนพื้นเฉอะแฉะ
ฉันเกลียดน้ำพวกนั้น ถึงแม้ว่าน้ำพวกนั้นจะเคยเป็นฝนที่ฉันรัก

ฉันทำให้ฝนเสียใจหรือเปล่านะ
ฉันขอโทษ
ไม่ว่ายังไง ฉันก็มั่นใจนะ ว่าฉันรักฝน

Monday, February 18, 2013

นิทานดอกไม้

        กาลครั้งหนึ่ง… ในยามเช้าอันแสนสดใส
        เพิ่งจะผ่านต้นปีมาได้เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ดอกไม้ดอกหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นเป็นครั้งแรก จริงๆ แล้วไม่ใช่เพียงแค่ดอกไม้นั้นเพียงดอกเดียว ยังมีดอกไม้อีกหลายดอกที่ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมๆ กัน

        สวนนี้ถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วน ดอกไม้หลากสีถูกแยกกันอย่างเป็นระเบียบ แปลงข้างๆ เป็นดอกไม้สีขาวบริสุทธ์ อีกข้างหนึ่งเป็นดอกไม้สีแดงสดใส ดอกไม้ดอกแรกที่เรากำลังพูดถึง กำลังยิ้มร่าให้กับความงามรอบตัว เจ้าดอกไม้ไม่สามารถมองเห็นตัวเองได้ว่าตนเองเป็นสีอะไร แต่มันก็พอจะเดาๆ ได้จากดอกไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ในเมื่อสวนเป็นสัดส่วนเช่นนี้ ตัวมันก็ย่อมต้องเป็นสีเดียวกับดอกไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นแน่ ดอกไม้รอบตัวต่างสูงสง่า เป็นสีชมพูสวยงาม เจ้าดอกไม้จึงมีความภาคภูมิใจ แม้ไม่ได้เห็นความงามของตนเอง

        ยามสาย… ผู้คนในเมืองต่างเริ่มกรูกันเข้ามาในสวนแห่งนี้
        แน่นอนว่าแปลงที่เจ้าดอกไม้อยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยสีชมพูตระกานตา เป็นแปลงดอกไม้ที่มีผู้คนรายล้อมมากที่สุด เจ้าดอกไม้ยิ้มหน้าบานกว่าเดิม รับกับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง

"ผมขอซื้อกุหลาบชมพูหนึ่งดอกครับ" เสียงหนุ่มชาวเมืองหน้าตาดี หนึ่งในผู้คนที่มาที่สวนนี้เพื่อชมความงามของดอกไม้พูดขึ้น ทันใดนั้นเอง ชายชราคนหนึ่งคว้าหมับเอาดอกไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วใช้กรรไกรตัดฉิบเข้าให้ พลันดึงร่างไปห่อด้วยกระดาษสีสวย

เจ้าดอกไม้ตื่นตกใจ "เขาตัดพวกเราไปทำไม ยืนชมเราอยู่เช่นนี้มิได้หรือ"
"ใช่ๆ นี่เราเพิ่งลืมตาดูโลกนี้ยังไม่พ้นวันเลยนะ คนใจร้าย คนใจร้าย"

เสียงกร่นด่ามิได้ดังไปกว่าแรงลม ชายชรายังคงเดินขวักไขว่ ใช้กรรไกรคมกริบเดินไล่ปริดชีวิตร่างดอกไม้ในแปลงดอกแล้วดอกเล่า

        โชคดี… ที่ผ่านพ้นหนึ่งวัน เจ้าดอกไม้ดอกน้อยยังคงรอดชีวิตมาได้ แต่ค่ำคืนที่แสนยาวนาน ไม่ได้ชวนให้จิตใจสงบลงได้เลย

"พรุ่งนี้ฉันจะรอดไหมนะ" เจ้าดอกไม้น้อยคิด
"พวกเขาจะเอาร่างของเราไปทำไมกัน บางทีความงามของกระดาษที่ห่อ ยังงดงามกว่าซากศพพวกเราเป็นไหนๆ"

มีเสียงตอบดังมาจากที่สูง "เพราะพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์น่ะสิ พวกนั้นเขาเอาความงามของกุหลาบพวกนั้นไป เพื่อแทนความรักของเขา" เจ้านกฮูกผู้รอบรู้ที่บินมาเกาะคอนนั่นเองที่เป็นผู้ไขปัญหาให้เจ้าดอกไม้

"ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ร่างไร้วิญญาณจะไปแสดงความรักได้อย่างไร" เจ้าดอกไม้น้อยยังคงครุ่นคิดอย่างน้อยใจ

นกฮูกจึงตอบกลับ "ประเพณีที่สวยงาม วัฒนธรรมที่สร้างขึ้น ไม่เคยยุติธรรมกับผู้ใด . . . เจ้าก็เห็นใช่ไหมว่าชายชราเหล่านั้นดูแลดอกไม้ได้งดงามเช่นไร หากดอกไม้เหล่านั้นไม่มีคุณค่า พวกนั้นก็ถูกหนอนทำลายเว้าแหว่งไม่สวยเช่นทุกวันนี้" เมื่อพูดจบ เจ้านกฮูกก็บินหายไปในความมืด

        ค่ำคืน… มีแต่เสียงหรีดเรไรระงม เจ้าดอกไม้นอนไม่หลับ แต่มิใช่เพราะเสียงร้องของแมลงน่ารำคาญเหล่านั้น

        เช้าวันรุ่งขึ้น… พระอาทิตย์ขึ้นแจ่มใสเหมือนเมื่อวาน แต่หัวใจของเจ้าดอกไม้มิได้เบิกบานเหมือนเก่า เช้านี้ผู้คนในเมืองมากันเช้าตรู่ ชายชรายังคงออกมาคร่าชีวิตดอกไม้ที่เขาปลูกเองต้นแล้วต้นเล่า เจ้าดอกไม้เงยหน้ามองเพื่อนๆ ในแปลงถูกดึงออกไป วันนี้ชาวเมืองบางคนสั่งดอกไม้มากมายขนาดที่ชายชราต้องตัดไปเป็นช่อใหญ่ ร่างไร้วิญญาณของดอกไม้หลากสีถูกมัดรวมกัน และห่อด้วยกระดาษสวยงาม

"นั่นเพียงเพื่อแสดงความรักอย่างนั้นหรือ?"  เจ้าดอกไม้น้อยสะอื้น บัดนี้รอบตัวของเจ้าดอกไม้ไม่เหลือกุหลาบชมพูอีกแล้ว มันคงเหลือเพียงดอกสุดท้ายในแปลงนี้ หากมีเพียงใครสักคนเดินมาสั่งซื้อ ชายชรานั่นต้องมาตัดมันออกอย่างแน่นอน

เจ้าดอกไม้ปลงตก หลั่งน้ำตา

แต่น่าแปลก ตลอดบ่ายนั้นกลับไม่มีใครสั่งกุหลาบชมพูอีกเลย ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดี โชคคงเข้าข้างเจ้าดอกไม้กระมัง และโชคคงเข้าข้างซ้ำสองเมื่อมีหยาดฝนโปรยลงมาเบาๆ ยามบ่ายแก่ๆ น้ำฝนที่โปรยปรายลงมาช่วยชะล้างน้ำตาและความเศร้าหมองของเจ้าดอกไม้ได้ดี เจ้าดอกไม้ภาวนาให้ฝนช่วยโปรยปรายอย่างนี้ไปจนหมดวัน แต่แม้แต่ธรรมชาติก็ไม่เข้าข้างเจ้าดอกไม้

ฝนที่ตกนั้นซาลง แสงสว่างจากพระอาทิตย์ก็สาดส่องอีกครั้งบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝนเจิ่งนองในแปลง
"สวัสดีค่ะ คุณตา" มีเสียงเด็กน้อยเดินเข้ามาใหม่ในสวน ส่งเสียงเริงร่า
เจ้าดอกไม้มองตาม เด็กน้อยสายตาดีหันมาสบตาเจ้าดอกไม้อย่างจัง "อย่าสั่งฉันเลยนะ อย่าเอาฉันไปแทนความรักของเธอ" เจ้าดอกไม้ได้แต่ภาวนาผ่านสายลมหลังฝนที่พัดมาเอื่อยๆ เหมือนกับว่าเด็กน้อยจะได้ยิน เด็กน้อยวิ่งเข้ามาใกล้ สบตากันกับเจ้าดอกไม้ และส่งยิ้มให้ดอกไม้ ช่างเป็นความอบอุ่นบนความกลัวของดอกไม้เหลือเกิน

"คุณตาขา หนูขอดอกไม้ดอกนี้ได้มั้ยคะ" เป็นประโยคที่เจ้าดอกไม้ไม่อยากจะได้ยิน

เจ้าดอกไม้ร่ำไห้ในวินาทีนั้น

"เอาไปสิ เด็ดออกไปได้เลยนะ ...นั่นไม่ใช่ของขายของตาอยู่แล้ว" นับตั้งแต่ที่เจ้าดอกไม้ร่ำไห้ และก้มหน้าลง เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองบนพื้นที่มีน้ำเฉอะแฉะหลังฝนตก มันมิได้มีสีชมพูเหมือนดอกไม้อื่นๆ ที่ร่วมแปลง มันเป็นเพียงดอกไม้สีขาวเล็กๆ ดอกหนึ่งเท่านั้น เจ้าดอกไม้เพิ่งได้ตระหนักคิด

…มิน่าเล่า มันจึงเหลือเป็นเพียงดอกสุดท้าย
…มิน่าเล่า มันจึงได้แต่เงยหน้ามองดอกไม้
ดอกแล้วดอกเล่าถูกตัดออกไป ที่ต้องเงยหน้าเพราะมันเป็นเพียงดอกไม้เล็กๆ ไม่ได้เชิดก้านสูง และอาจจะไม่ได้สวยงามอย่างที่มันเคยภาคภูมิใจ แถมยังไม่มีค่าที่จะขายได้ด้วยซ้ำ อย่างไงก็ตาม มันก็คงจะถูกเด็ดออกไปในไม่ช้านี้อยู่ดี มือน้อยๆ ของเด็กหญิงจับก้านดอกไม้แน่น แล้วค่อยๆ ดึงออก ...ดึงออกทั้งราก เจ้าดอกไม้ใจสั่น นึกลาโลก

ฉับพลันนั้นเอง เจ้าดอกไม้ก็ได้หย่อนรากลงในดินอีกแห่งหนึ่ง ในหมวกใบเล็กๆ ของเด็กหญิงคนนั้นนั่นเอง เด็กหญิงไม่ได้เด็ดดอกไม้ไป แต่เขาได้พาดอกไม้ไปด้วยกันต่างหาก เด็กหญิงนำเจ้าดอกไม้สีขาวที่คิดว่าตัวเองไร้ค่ากลับบ้าน ส่งให้คุณแม่ และบอกรักแม่ ในวันวาเลนไทน์ ด้วยดอกไม้สีขาวเล็กๆ หนึ่งดอก ที่เด็กน้อยได้มาฟรีๆ จากสวนคุณตาขายดอกไม้

คุณแม่ยิ้มรับด้วยความภูมิใจ เจ้าดอกไม้น้อยถูกนำกลับไปโตในกระถางเล็กๆ มันรู้ตัวว่ามันเป็นเพียงดอกไม้เล็กๆ ไม่มีค่าให้คุณตาขาย ไม่สวยงามพอที่จะถูกห่อด้วยกระดาษสีสวย มันเดินทางมาถึงที่นี่ในหมวกใบเล็กๆ จากรอยยิ้มอันอบอุ่นของเด็กตัวเล็กๆ ที่พบกันครั้งแรกที่แปลงดอกไม้ สถานที่ที่ให้กำเนิดเจ้าดอกไม้ขึ้นมา มันได้เดินทางผ่านมือน้อยๆ ที่คอยดูทะลุถนอมมันด้วยหมวกใบเล็กๆ และลงสู่กระถางที่บ้านอันอบอุ่นนี้

        กาลครั้งนี้… แม้เจ้าดอกไม้จะรู้ว่ามันเกิดมาไม่สวยงาม เคยรู้สึกหดหู่ เคยรู้สึกไร้ค่า แต่อย่างน้อย มันก็เป็นตัวแทนของความรักจากเจ้าหญิงตัวเล็กๆ ในบ้านหลังนี้ ในกาลครั้งนี้ เจ้าดอกไม้กลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีค่าไม่ต่างจากเพื่อนๆ กุหลาบชมพูแสนสวย ที่ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมๆ กัน

เลนจักรยาน

ฉันเคยสนทนากับคุณพ่อเกี่ยวกับเลนจักรยาน

ฉัน: เลนจักรยานก็มีแล้ว แต่ไม่เห็นจะใช้ได้สักที่นึงเลยนะพ่อ
พ่อ: ไม่รู้จะตีเส้นขึ้นมาทำไม ถนนก็แคบอยู่แล้ว เนี่ยะ! แคบลงไปอีก
ฉัน: เขาคงตีไว้ให้รถมอเตอร์ไซค์วิ่งล่ะมั้ง
พ่อ: ไม่หรอก มอเตอร์ไซค์มันไม่วิ่งชิดซ้ายช่องในหรอก มันวิ่งเลนนอกทางขวาโน่น
ฉัน: ก็จริงของพ่อนะ …ดูโน่นสิ มีรถยนต์จอดทับเลนจักรยานด้วย
พ่อ: เขาก็จอดปกติของเขาน่ะแหละ
ฉัน: อ่าว! อย่างนี้ถ้ามีคนปั่นจักรยานมา เขาก็ต้องอ้อมรถที่จอดอยู่ มาวิ่งนอกเลนจักรยานงี้หรอ?
พ่อ: ก็วิ่งขึ้นฟุตบาทไปก็ได้
ฉัน: ฮ่าๆๆ คนขี่จักรยานผู้น่าสงสาร
พ่อ: ไม่เป็นไรหรอก...ไม่มีคนขี่จักรยานอยู่แล้ว

.

.

.

ฉัน: ว่าแต่ว่า ถ้าเขาจอดทับเลนจักรยานกันแบบนี้ ตำรวจจราจรถือว่าผิดป่าวอ่ะ?
พ่อ: จราจรเขาไม่สนเลนจักรยานอยู่แล้ว ดูสีที่ฟุตบาทเท่านั้นแหละ มีขาวแดงก็ห้ามจอด แค่นั้นแหละ
ฉัน: อ้าว แล้วงี้จะทำเลนจักรยานมาทำไมอ่ะ
พ่อ: กทม. มันทำ ตำรวจจราจรไม่รู้เรื่อง
ฉัน: ฮ่าๆๆๆ แล้วงี้ถ้าคนเห็นเลนจักรยานแล้วจอดแบบเว้นเลนจักรยานล่ะ เขาถือว่าผิดป่ะ?
พ่อ: ก็คงโดนใบสั่งแหละ
ฉัน: อ้าว! เขาอุตส่าห์เว้นไม่ทับเลนจักรยานอ่ะนะ ไหงไปออกใบสั่งปรับเขาล่ะ
พ่อ: ก็ถือว่าจอดรถกีดขวางการจราจร
ฉัน: เวร!!! แล้วงี้มีเลนจักรยานไว้ทำป๊ะอะไรเนี่ยะ
พ่อ: กทม. ตีเลนเพิ่มเอง กฎจราจรไม่ได้เปลี่ยนไปด้วยหรอก ตำรวจจราจรเขาก็ใช้กฎเดิมของเขา
ฉัน: เยี่ยม! ขอบคุณประเทศไทย ฮ่าๆๆ

(หมายเหตุ คุณพ่อของฉันเป็นตำรวจ)