Wednesday, November 30, 2011

Learn from the past : THE LION KING (1994)

Simba: I know what I have to do. 
         
but going back will mean facing my past.
          I've been running from it for so long.
[Rafiki hits Simba on the head with his stick]
Simba: Ow! Jeez, what was that for?
Rafiki: It doesn't matter. It's in the past. HAHAHA
Simba: Yeah, but it still hurts.
Rafiki: Oh yes, the past can hurt.
          But the from way I see it, you can either run from it,
          or... learn from it.

[Rafiki swings his stick at Simba again who ducks out of the way]
Rafiki: Ha. You see!!! So what are you going to do?

Friday, November 18, 2011

find ‘a’

…โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง…

eeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeee
eeaaaaaaeeeaaaeeaaaeeeeeaaaaaaeeeeaaaaeeeeaaaaeeeaaaaee
eeeeaaeeeeaaaaaaaaaaeeaaeeeeeeeeaaeeeeaaeeaaeaaeaaeaaee
eeeeaaeeeeaaaaaaaaaaeeaaeeaaaaeeaaaaaaaaeeaaeeaaaeeaaee
eeeeaaeeeeeeaaaaaaeeeeaaeeeeaaeeaaeeeeaaeeaaeeeeeeeaaee
eeaaaaaaeeeeeeaaeeeeeeeeaaaaaaeeaaeeeeaaeeaaeeeeeeeaaee
eeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeee

จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม
เธอคือความสุขของฉัน ถ้าเธอไม่รับมันให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ
ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม

ถ้ารอให้ฉันหยุดหัวใจ
ถ้ารอให้ฉันหันหลังเดินลับหายไป

…ได้…
…ยิน…
…มั้ย…
คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน

Wednesday, November 16, 2011

“อภัยโทษ” ฮือฮากันอีกครั้ง

          วันนี้ผมต้องมาเปิดประเด็นซีเรียสกันนิดนึงอีกแล้วนะครับ เป็นประเด็นการเมืองอีกแล้วล่ะสิ จากกระแสใหม่บนเฟสบุคที่เริ่มมีคนออกมาด่ารัฐบาลกันอีกครั้ง ตามรูปที่เห็นข้างล่างนี้เลย
          ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการพาดหัวของหนังสือพิมพ์สมัยนี้ หลายครั้งหลายคราก็ดูจะจาบจ้วงเกินไปหน่อย ยิ่งในยุคที่คนมักจะอ่านย่อๆ อ่านสั้นๆ แล้วพร้อมที่จะวิจารณ์ทันทีเช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นอะไรที่เหมือนเป็นการซ้ำย้ำรอยแตกแยกให้มันแหลกลงไม่มีชิ้นดี

thaipost

จากพาดหัวนี้ ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ที่เพิ่งออกข่าวไปหมาดเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งพอเห็นคำว่า “อภัยโทษ” หลายคนก็เริ่มร้องโวยวายขึ้นทันทีว่านี่อาจเป็นแผนการเนียนอภัยโทษให้กับผู้หนีอาญาแผ่นดิน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นได้ แต่เดี๋ยวก่อนนะครับอยากให้ใจเย็นๆ กันนิดนึง

          ในช่วงแรกผมเองก็ยังไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก เพราะเท่าที่ตามอ่านจากที่แสดงความเห็นกัน ก็ยังไม่ได้ข้อมูลเนื้อหาอะไรมากมายนัก เท่าที่เห็นก็มีเพียงคำว่า "อภัยโทษ" และตามด้วยคำด่า อีกสักโหลนึงได้

          อันที่จริงแล้ว พระราชกฤษฎีกาในลักษณะนี้ ผมคิดว่าผมเห็นอยู่แทบทุกปี
โดยเฉพาะปีที่เป็นวโรกาสสำคัญต่างๆ ก็จะเห็นการพระราชทานอภัยโทษมากเป็นกรณีพิเศษ ประมาณว่า ลดโทษให้นักโทษในคุก สำหรับนักโทษชั้นดี ฯลฯ ถวายเป็นพระราชกุศล ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ซึ่งเวลานี้ก็ใกล้แล้ว
ซึ่งปีที่แล้ว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีออกพระราชกฤษฎีกาเช่นนี้เหมือนกัน

<<<คลิกอ่าน พรฎ. ปีที่แล้ว เป็น pdf ตาม link นี้>>>

          เป็นอันว่า...ผมก็เห็นเป็นเรื่องดีที่จะระแวงกันไว้ก่อน จะได้มีการตรวจสอบพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้อย่างละเอียดทุกอักษร

===================================

หลังจากที่ได้อ่าน พระราชกฤษฎีกาปี 2553 กันแล้ว ข้อสังเกตุที่ทำให้ พระราชกฤษฎีกาปีนี้ (15 พ.ย. 54) เป็นที่สนใจ ก็เพราะพระราชกฤษฎีกาปีนี้ มีการตัดคำแนบท้ายจาก พระราชกฤษฎีกาปี2553 ออก ในประโยคที่ว่า

"ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด
และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น"

นั่นหมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าข่ายการได้รับอภัยโทษด้วย ช่างแลดูเป็นความตั้งใจของรัฐบาลนี้จริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ตามพระราชบัญญัติอภัยโทษ ก็ระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า

“ยกเว้น คดียาเสพติด และคดีคอร์รัปชั่น
จะไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ”

ซึ่งตามหลักกฎหมายไทยก็เรียงลำดับง่ายๆ ได้ว่า

รัฐธรรมนูญ > พระราชบัญญัติ > พระราชกฤษฎีกา

หมายความว่า แม้มีการพระราชกฤษฎีกาโดยตัดคำแนบท้ายออกไป พระราชบัญญัติก็ยังมีเนื้อหาครอบคลุม และมีผลบังคับใช้ด้วย นั่นก็คือ "คดียาเสพติด และคดีคอร์รัปชั่น จะไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ"

ปัญหาที่ควรเป็นประเด็นถกเถียง ความจริงแล้วอาจอยู่ตรงที่...

พระราชกฤษฎีกาที่ไม่เขียนระบุลงไป
จะถือว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาที่ขัดพระราชบัญญัติหรือไม่?

แต่ด้วยวิจารณญาณแล้ว พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ก็ไม่ได้ขัดพระราชบัญญัติแต่ประการใด จึงมีผลบังคับใช้ได้ ซึ่งก็ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่ พ.ต.ท.ทักษิณแต่ประการใด เพราะพระราชบัญญัติมีอำนาจเหนือพระราชกฤษฎีกาอยู่แล้ว แต่หากมองว่าพระราชกฤษฎีกานี้ขัดกับพระราชบัญญัติ นั่นก็หมายความว่า พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นโมฆะ ไม่สามารถมีผลบังคับใช้ได้ตั้งแต่แรก…นักโทษที่มีสิทธิ์ได้รับอภัยโทษในข้อหาอื่นๆ ก็จะไม่ได้รับอภัยโทษกันทั้งบาง

ไม่ว่าผลจะออกมาประการใด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด
การออกพระราชกฤษฎีกาแบบจงใจตัดข้อความบางอย่างออกเช่นนี้
จึงเป็นที่น่าจับตามองมาก

ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจเพื่อไม่ให้มีใจความซ้ำซ้อนกับ พรบ.
หรือเป็นการตั้งใจเพื่อจะเนียนใช้ พรฎ. แล้วมองข้าม พรบ. อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้

การกระทำครั้งนี้ จึงไม่เป็นการดีเลยสำหรับรัฐบาล
ที่มีคนจ้องขัดขา พร้อมกระทืบซ้ำอยู่ทุกหนทุกแห่ง

Tuesday, November 15, 2011

เด็กควรมีพัฒนาการที่เหมาะสม (Rewrite)

          เมื่อสองปีก่อนผมเคยเขียนหัวข้อนี้ใน eakkycu.spaces.live.com ตามที่บันทึกไว้ผมโพสบทความเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นการเขียนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากPoysianz เป็นเรื่องราวของความคิด/วีรกรรมของผมตั้งแต่อนุบาลจนถึงม.๒ ผมลองอ่านๆ ดูแล้วเห็นว่าเข้าที วันนี้ก็เลยเอามาเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง

ตอนอนุบาล
- เคยร้องไห้ตอนกินข้าวกลางวัน เพราะคุณครูบังคับให้กินหมู (เดี๋ยวนี้เขี่ยผักทิ้ง)
- ก่อนกลับบ้านจะมีเต้นๆ ร้องเพลง คุณครูร้องเพลงแล้วถามว่า "ม้าร้องยังไง" ผมก็ร้องตะโกนเสียงดังว่า "ฮี้ฮี้~" ด้วยความภูมิใจว่าตัวเองเป็นเด็กอัจฉริยะมาก
- ไม่ได้เรียนอนุบาล ๒ คือ เรียนอนุบาล ๑ แล้วขึ้นอนุบาล ๓ เลย
- เคยคิดว่าพ่อกะแม่ไม่รัก เลยเอาไปทิ้งไว้กับคุณครู
- เคยไม่ยอมไปโรงเรียน แล้วแม่บอกว่า "คุณครูใช้กล้องส่องทางไกลดูอยู่นะ" ด้วยความที่กลัวคุณครูมากเลยรีบแต่งตัว หยุดร้องไห้ แต่ยังคงสะอื้นไปโรงเรียน
- ติดรายการเจ้าขุนทองมากๆ โดยเฉพาะเพลงที่ร้องว่า “ร่มใบบัง เขียวชะอุ่มรำไร กระโดดเริงใจหากินได้เปรมปรี ชีวิตแสนสบายอยู่กันมาแสนนาน ใต้ร่มไม้เขียวครึ้มเย็น…ป่ามีความรักความสุขมานาน พึ่งพิงอิงพักมาแต่โบราณ เราสำราญอยู่กันมาแสนนานใต้ร่มไม้เขียวครึ้มเย็น…ป่านี้เป็นของเราทุกคน เคยอุ้มชูการุณหลายปี เรารักต้นไม้นานา จะรักษาให้ดีรักป่าที่เราอาศัย ฯ” ฮ่าๆๆ เป็นเด็กรักธรรมชาติ
- ตอนสอบเลขคณิตคิดในใจ เคยตะโกนคิดดังๆ "เอา ๓ ไว้ในใจ ชูขึ้นมา ๔ นิ้ว นับต่อจาก ๓ ที่อยู่ในใจ ๓ แล้วต่อไปเป็น ๔ ๕ ๖ ๗…ตอบเจ็ด" ทำให้เพื่อนทั้งห้องได้ยินแล้วเขียนคำตอบตามกันหมด คุณครูก็เลยลากออกจากห้อง ให้ไปนั่งรอที่ห้องอื่น สุดท้ายก็ต้องไปสอบคนเดียวตอนเย็นๆ
- อยากได้รองเท้านักเรียนใหม่ เพราะอยากได้หุ่นยนต์ที่มันแถมมากับรองเท้า
- เคยได้เต้นโชว์ในงานสมเด็จพระเจ้าตากสินที่โรงเรียน เต้นเพลงแมงมุมของคริสติน่าซะด้วย ภาคภูมิใจซะเหลือเกิน

ตอนป.๑
-
ได้เรียนชั้นล่างของตึก ทำให้คิดว่าถ้าขึ้นป.๒ จะได้เรียนชั้น๒ ทุกวันที่ไปโรงเรียนก็เลยพยายามมองหาชั้น๓ ชั้น๔ ว่ามันอยู่ตรงไหน ทั้งๆ ที่โรงเรียนมีอาคารเรียนแค่ ๒ ชั้น เพราะกลัวว่าพอขึ้นป.๓ แล้วจะหาห้องเรียนไม่เจอ
- ตอนสอบวิชาเขียนไทย คุณครูจะอ่านคำศัพท์ไทยแล้วให้เราเขียนสะกดให้ถูกต้อง เคยเขียนคำว่า "ธี่พัก" แล้วครูก็ให้ผิด แต่ไม่ยอมเลยไปฟ้องครูว่าเวลาครูออกเสียงให้เขียนอ่ะ ครูออกเสียงเป็น ธ ธง ไม่ใช่ ท ทหาร
- น้าเล่นกับน้องอยู่ แล้วน้าแซวผมว่า “พี่เอกเป็นหมาหัวเน่าแล้ว” ก็เลยวิ่งไปหาอาม่าให้ดูหัวให้ว่ามีอะไรติดอยู่ เพราะไม่เข้าใจว่าหมาหัวเน่าคืออะไร
- หลังจากสงสัยว่าหมาหัวเน่าคืออะไร เลยแอบไปถามคุณพ่อ คุณพ่อบอกว่า "แปลว่า เด็กที่ไม่มีคนรักแล้วไง แบบลูกหมาที่แม่มันทิ้งนั่นแหละ" หลังจากนั้นผมก็เลยซึมไปเป็นอาทิตย์ ไม่พูดไม่จากับใครแถมยังเกลียดน้องมาก จนโดนคุณแม่ตีแล้วถามว่าทำไมชอบแกล้งน้อง ถึงได้บอกไปว่า "ก็น้าบอกว่าเอกเป็นหมาหัวเน่า" แล้วก็ร้องไห้หนีไปกอดอาม่า…สุดท้าย อาม่าก็เลยเรียกให้น้ามาขอโทษ ฮ่าๆๆ (สมน้ำหน้า จะพูดอะไรกับเด็กต้องระวังเหมือนกันนะ)

ตอนป.๒
- คุณครูประจำชั้น (คุณครูสดใส) ได้ออกรายการ "รักลูกให้ถูกทาง" แล้วมาบอกในห้องเรียนตอนเช้าว่าให้ดูรายการนั้นด้วย พอกลับบ้านผมเลยบอกแม่ว่าต้องดูโทรทัศน์เพราะครูให้เป็นการบ้าน แต่แม่เปลี่ยนช่อง ผมเลยร้องไห้เพราะกลัวว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้คุณครูถามแล้วจะตอบไม่ได้ (คิดว่าจะมีการบ้านอยู่ในรายการ)
- การทำการบ้านวิชางานประดิษฐ์ และวิชาศิลปะ คือวิชาที่เก็บเอางานมาให้คุณพ่อกับคุณแม่ที่บ้านช่วยทำแล้วเอาไปส่ง
- วิชาคัดไทยและคัดอังกฤษ เป็นวิชาที่มีเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อคัดหนังสือแค่ ๑ หน้าแต่ก็ทำแทบไม่ทันทุกชั่วโมง
- เคยเอาตะปูจากข้างบ้านซึ่งเป็นช่างทำรองเท้า ไปวางบนทางรถไฟหน้าบ้านแล้วโดนอาม่าตี อาม่าบอกว่า "เดี๋ยวรถไฟยางแตก ตกรางนะ" ร้องไห้ไปแป้บนึง แต่พอรถไฟวิ่งผ่าน ก็วิ่งไปดูผลงานแล้วก็เถียงอาม่าในใจว่า "รถไฟยางไม่แตกซะหน่อย ทับซะตะปูแบนเลยเนี่ยะ" ตั้งแต่นั้นมาก็ลองเอาอะไรไปวางอีกเยอะ (เด็กๆ ไม่ควรเลียนแบบนะ ฮ่าๆๆๆ)

ตอนป.๓
- เคยคิดว่าตัวเองวิ่งเร็วที่สุดในโลก เพราะวิ่งกลับบ้านแล้ววิ่งแซงมอไซที่วิ่งในซอย
- บ้าขบวนการเรนเจอร์มากๆ เคยคิดว่าโตขึ้นจะซื้อหุ่นยนต์มาขับเล่น
- ถูกรุ่นพี่ที่เป็นเวรสารวัตรนักเรียนจับให้นั่งพนมมือเป็นการทำโทษ เพราะเล่นวิ่งไล่จับแล้วไปกระโดดข้ามยางที่เด็กผู้หญิงเขาเล่นกันอยู่ หลังจากนั้นมากก็ไม่กล้าวิ่งเล่นอีกเลย
- เป็นครั้งแรกที่สงสัยว่าทำไมต้องสวดมนตร์เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไร แล้วคุณครูบอกว่าเพราะศาสนาพุทธมีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย ทำให้คิดว่าที่ท่องอยู่เป็นภาษาอินเดีย
- ใส่ชุดลูกเสือแล้วคิดว่าตัวเองมีญาณวิเศษมองเห็นอนาคตได้ เพราะตอนเรียนมาหมวกลูกเสือสำรองป.๑ จะมีหนึ่งดาว ครูบอกว่าเหมือนลูกเสือเปิดตาข้างนึง พอขึ้นป.๒ ก็มีสองดาว ป.๓ เลยคิดว่ามีตาที่สาม เป็นเทพสามตา หยั่งรู้อนาคต
- เคยถูกทิ้งไว้ที่โรงเรียนถึงสองทุ่มครึ่ง เพราะอาม่าคิดว่าแม่ไปรับ แม่คิดว่าพ่อไปรับ และพ่อก็คิดว่าอาม่าไปรับ ก็เลยไม่มีใครมารับสักคน ทำให้เป็นครั้งแรกที่การจำเบอร์โทรศัพท์บ้านมีประโยชน์ ตอนนั้นหิวมากด้วย คุณครูให้กินทุเรียนซึ่งเป็นอะไรที่เกลียดมาก แต่ก็กินไปร้องไห้ไป เป็นช่วงเวลาที่น่าสงสารที่สุดในชีวิตแระ

ตอนป.๔
- ลืมเอาเสื้อพละไปโรงเรียน ต้องรวบรวมความกล้ามากเพื่อขอคุณครูโทรศัพท์กลับบ้านให้พ่อเอามาให้ แต่ว่าไม่กล้า ก็เลยร้องไห้ไปหาคุณครู
- ทำการบ้านตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงสี่ทุ่มทุกวัน เพราะคุณครูให้การบ้านเยอะมาก ไม่มีเวลาเล่นเลย
- การติดแอร์ที่บ้าน เป็นเรื่องที่หรูมาก สามารถคุยโวได้เป็นเดือน "บ้านเราติดแอร์ด้วยแหละเธอ~" เพื่อนๆ สนใจกันทั้งห้อง เป็นอะไรที่ประหลาดมาก
- เป็นอีกครั้งที่สงสัยว่าตอนเป็นลูกเสือสำรอง ทำไมต้องร้อง "อาเคล่า เราจะทำดีที่สุด" แล้วกระโดดๆ ชูสองนิ้ว (สงสัยทั้งๆ ที่เมื่อปีที่แล้วก็ยังทำอยู่เลย) เพื่อนให้คำตอบว่า "ก็เพราะเป็นเมาคลีลูกหมาป่าไง ตอนเรียนครูก็สอน" เลยรู้สึกเหมือนโดนด่าว่าไม่ตั้งใจเรียน ก็เลยเลิกถามเรื่องลูกเสือตั้งแต่นั้นมา

ตอนป.๕
- เอากล้องถ่ายรูปไปโรงเรียนตอนปีใหม่ เพื่อจะถ่ายรูปคุณครูและเพื่อนๆ ที่โรงเรียน สมัยนั้นมีแต่กล้องฟิล์ม ปกติถ้าเป็นกล้องอัตโนมัติ เวลาถ่ายจนหมดม้วนแล้วมันจะกลอกลับให้เองเรียบร้อย ...แต่กล้องที่คุณแม่ให้เอาไปโรงเรียนเป็นกล้องถูกๆ ที่หมุนฟิล์มเองแล้วถ่าย พอถ่ายจนหมดม้วนแล้วก็ไม่รู้ว่าจะให้มันกลอยังไง เลยถามเพื่อนว่าทำยังไง เพื่อนมันก็เปิดด้านหลังที่ใส่ฟิล์มไว้ออกมา แล้วนั่งม้วนฟิล์มกลับเข้าไปเอง พอเอาฟิล์มไปล้าง เขาก็บอกว่าเสียหมด เลยเล่าให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อเอาไปบอกครู เพื่อนคนนั้นก็เลยโดนครูตี
- ได้เป็นเวรทำหน้าที่สารวัตรนักเรียนบ้าง เลยแก้แค้นกับรุ่นน้อง เห็นใครวิ่งๆ จับมานั่งพนมมือหมด
- เกลียดการเข้าห้องสมุดเป็นที่สุด เพราะเข้าแล้วไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ก็ถูกบังคับด้วยกฎว่าต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีโต๊ะให้นั่ง (แต่พอมัธยมห้องสมุดกลายเป็นที่สิงสถิตของผมซะงั้น)
- เคยเขียนจดหมายลาตายพร้อมให้มรดก ยกเกมกดให้น้อง เพราะเป็นอีสุกอีใสแล้วเพื่อนบอกว่าเป็นเอดส์
- ตอนหยุดเรียนที่เป็นอีสุกอีใส ดูแผลแล้วมันมีน้ำๆ เหมือนแผลไฟไหม้ เลยเอาเข็มจิ้มๆ แล้วแกะแผลดู ข้างในมีสะเก็ดน้ำตาลๆ ทำให้เข้าใจเอาเองว่าทำไมถึงเรียกว่าอีสุกอีใส พอไปบอกเพื่อน เพื่อนมันบอกว่าจิงหรอๆ แกะดูด้วยหรอ…สงสัยกันใหญ่
- เล่นสเกตบอร์ดครั้งแรก เพราะโดนอาม่าบอกให้ลองเล่น สงสัยจะกลัวว่าหลานจะเป็นตุ๊ด เห็นขี้แย ร้องไห้ประจำ พอจะเล่นเป็นแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็พาไปซื้อ... แต่พอเล่นแล้วก็ไม่เห็นสาวๆ จะสนใจเลย พอขึ้นม.๑ ปรากฎว่ากระแสของลอเลอร์สเกตมาแรงกว่า แต่ผมเล่นเป็นแต่สเกตบอร์ด ก็เลยดูเป็นเด็กแนวซะงั้น

ตอนป.๖
- ได้นำสวดมนตร์คู่กับเพื่อน แล้วแข่งกันเสียงดังที่สุดเพื่อนให้เด่นกว่าอีกคน
- เรียนสังคม คุณครูเล่าเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องนรก สวรรค์ ตอนนั้นรู้สึกว่าเรื่องนรกน่ากลัวมาก แต่เพื่อนมันฮากันทั้งห้อง จำได้ว่าเขียนใส่ในสมุดจดการบ้านเลยว่า "เพื่อนแม่งซาดิสชิบเป๋ง" ฟังเรื่องปีนต้นงิ้วหนามๆ มีหอกแทงๆ ข้างล่าง ปีนไปข้างบนมีนกกาจิกเนื้อ จิกตา มีลงกระทะทองแดง ทอดๆ ดิ้นทุรนทุราย.... เพื่อนๆ มันทนฟังกันได้ไงฟะ!!!! สาดดดดดดดดดด ซาดิสมากๆ
- เคยแอบขึ้นไปเป็นตัวแทนร้องเพลงปีใหม่ทั้งๆ ที่ไม่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทน
- เล่นบาร์โหนในโรงเรียน แล้วสามารถไต่จากฝั่งนึงมาอีกฝั่งนึงสำเร็จเป็นครั้งแรก
- ได้ไปเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดประยูร สอบไล่ได้ที่ ๑ ที่ ๒ ตลอด ทำให้คิดว่าตัวเองเก่งมากๆ ถ้าเทียบกับโรงเรียนอื่น แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ความหมายของบทสวดมนตร์ที่ท่องมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่นี่สวดแล้วแปลด้วย!!
- เรียนธรรมศึกษา และได้สอบธรรมสนามหลวง ได้เป็นนักธรรมตรี ภาคภูมิใจที่สุด
- ตอนที่ไปนมัสการพระอาจารย์ที่วัดประยูร โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ พระอาจารย์กำลังติวหนังสือให้พี่ม.๒ แล้วมีการทดสอบสมาธิให้คิดเลขในใจ ผมกับคุณพ่อกำลังคุยอยู่กับพระอาจารย์อีกรูปอยู่ เห็นตอบไม่ได้กันแล้วโวยวายเสียงดัง เลยตะโกนคำตอบไปด้วยความรำคาญ ตะลึงกันหมด!!! พระอาจารย์ก็เลยตั้งโจทย์ใหม่ให้คิดในใจเล่นๆ ต่อ
- ตกหลุมรักสาวครั้งแรก ชื่อ "พร" เรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์เหมือนกัน ผมเด่นเรื่องเรียน ส่วนพรเก่งเรื่องดนตรีไทย รำไทย จำได้ว่าแค่เห็นหน้าก็เขินแล้ว และตอนมีงานสงกรานต์ มีการแสดง มีแข่งขันตอบปัญหา คุณพ่อกับคุณแม่ก็เข้าไปคุยกับแม่ของพรตอนที่จบการแสดงด้วย ผมก็เลยได้ถ่ายรูปกับพรด้วย (ตอนนี้ไม่รู้รูปยังอยู่ป่าว ฮ่าๆๆ)
- ไปเข้าค่ายลูกเสือ แล้วโดนคุณครูตีตอนเช้า เพราะเพื่อนกินขนมตอนกลางคืนแล้วไม่เก็บให้เรียบร้อย แต่เพราะเป็นหัวหน้าหมู่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นพอปล่อยพักตอนเช้าก็กลับไปที่ห้องพัก ทำความสะอาดคนเดียวแล้วก็แอบร้องไห้ แต่เพื่อนมันก็รู้เลยมาขอโทษกันทั้งหมู่
- เคยแอบรวมกลุ่มกับเพื่อนก่อตั้งชมรมลึกลับคิดภาษา "สุรสิทธิ์" ซึ่งมาจากชื่อ เอกสิทธิ์ กับ สุรชัย (สิ้นคิดมากๆ) เป็นภาษาที่เขียนด้วยสัญลักษณ์ประหลาดๆ ที่เข้าใจกันเองในกลุ่มเพื่อนสนิท สามคน แล้วส่งโน๊ตไปมาข้ามห้องกันโดยถ้าหากคุณครูจับได้ก็ไม่รู้ว่ากระดาษนั่นมีสัญลักษณ์หมายถึงอะไร แถมมีท่าทาง/อิริยาบถสำหรับตัวเลข ๐-๙ และตัวอักษร ก-ง คือ ยกมือขึ้นเกาหัวหมายถึง ก., วางปากกาลงข้างกระดาษคำตอบหมายถึง ข., เอามือจับคางทำท่าคิดๆ หมายถึง ค., ใช้ยางลบดินสอหมายถึง ง.  เรียกได้ว่าถ้าจะทุจริตการสอบก็ทำได้สบายๆ ชมรมนี้มีผมเป็นประธานชมรม มีสุรชัยเป็นรองประธาน แบบตั้งๆ กันเอง แล้วพอเรียนจบป.๖ ก็ไม่น่าเชื่อว่าพอนับๆ สมาชิกดูแล้ว ก็มีสมาชิกในชมรมเป็นสิบๆ คน (เรื่องนี้คุณแม่เคยจับได้เพราะเห็นรายชื่อชมรม แล้วคุณแม่มาถามว่าชมรมอะไร? แต่ผมบอกไปว่า ไม่มีอะไรแค่เขียนเล่นๆ เฉยๆ เพราะกลัวว่าแม่จะรู้ว่ากำลังคิดการส่งซิกในห้องสอบอยู่ แล้วจะเอาไปฟ้องครู)
- ในสมุดโทรศัพท์มีเบอร์โทรดารานักร้องเยอะมาก มีเบอร์เพจเจอร์ด้วย เพราะลอกมาจากสมุดโทรศัพท์เพื่อนที่มีแม่ทำงานที่ค่าย RS เพราะคิดว่ามีเบอร์ดาราแล้วเท่

ตอนม.๑
- ได้ย้ายโรงเรียนเป็นครั้งแรก ซึ่งโควต้าโรงเรียนใกล้บ้านที่สามารถจับฉลากเข้าได้ มีแค่โรงเรียนศึกษานารี ดังนั้นผมจะเข้าเรียนที่ไหนก็ต้องสอบเข้าสถานเดียว
- สมัครสอบเข้าที่สวนกุหลาบ แต่ไม่ติด (ก็เพราะไม่ได้อ่านหนังสือ) ทำให้พ่อแม่วุ่นวายใจมาก กลัวลูกจะไม่มีที่เรียน แต่ในความวุ่นวายของพ่อแม่ ผมก็ยังคงนั่งเล่นเกมอยู่บ้านอย่างสนุกสนาน อารมณ์ประมาณว่าไม่มีที่เรียนก็ไม่ต้องเรียน
- สุดท้ายได้เข้าเรียนโรงเรียนวัดราชบพิธ โรงเรียนชายล้วนอีกโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยอยู่ห้องม.๑/๗ ซึ่งเป็นห้องที่ถูกเรียกว่า "เด็กเกลี่ย"  เพราะถูกเกลี่ยมาจากเด็กที่สอบไม่ติดสวนกุหลาบ
- ห้องเด็กเกลี่ย เป็นห้องที่เรียนดีที่สุดในระดับชั้น ภาคภูมิใจยิ่งนัก
- วิชาสังคมเป็นวิชาที่อาจารย์เล่าประวัติศาสตร์ได้น่าสนใจที่สุดในโลก ประหนึ่งกำลังอ่านนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริง ผมเพลินมากถึงขนาดเขียนคำพูดของอาจารย์ลงในหน้าหลังสุดของสมุดได้ประมาณหนึ่งหน้าต่อวัน
- วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่เด็กๆ นั่งนับคำว่า "นะ" ของอาจารย์ แล้วทำบันทึกเป็นสถิติ พบว่าแต่ละคาบ อาจารย์พูดคำว่า "นะ" เฉลี่ยแล้ว ๕ ครั้งต่อนาที
- ผมได้รับรางวัลเป็นขนมห่อใหญ่จากอาจารย์ที่สอนสังคม เนื่องจากส่งการบ้านแล้วอาจารย์เห็นที่จดด้านหลังสมุดเป็นหน้าๆ อาจารย์ประทับใจสุดๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนเลคเชอร์เรื่องที่เขาเล่า
- มีเพื่อนสนิทชื่อ "สมยศ" เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ขาวๆ น่ารักมาก โดนเพื่อนชื่อ "สาธิต" แกล้งเป็นประจำ ผมเห็นบ่อยๆ ก็ทนไม่ไหว สงสารมากก็เลยแอบไปฟ้องอาจารย์ สาธิตโดนอาจารย์ตีด้วยไม้ที่ใช้เรียนกระบี่กระบอง ร้องไห้ในที่สุด
- วิชาศิลปะและงานประดิษฐ์ก็ยังคงเป็นวิชาที่งานมาให้แม่ทำให้อยู่ดี
- แต่งกลอนวันสุนทรภู่ ๓ บทส่งประกวด จำได้ว่ามีเนื้อหาท่อนที่บอกว่าสุนทรภู่ติดเหล้า แล้วมีเมียหลายคนด้วย (มันสรรเสริญสุนทรภู่ตรงไหนฟะ) ตอนแรกคิดว่าจะแต่งเล่นๆ แต่เพื่อนยุว่า “ส่งดิ! ส่งดิ!” อาจารย์ประจำชั้นสนใจอยากอ่านเลยคว้าไปจากมือ อาจารย์อ่านแล้วมองหน้า สบตาสามที แล้วถอนหายใจ แต่อาจารย์ก็รับไป (คาดว่าจะเอาไปให้อาจารย์คนอื่นอ่านให้ฮาๆ ล่ะมั้ง)
- ได้ถือป้ายในกีฬาสี แต่งตัวเป็นกุมารทองอวบอ้วนน่ารัก แต่งหน้าทาปากซะแดง

ตอนม.๒
- ได้ย้ายห้องโดยมีการแบ่งตามผลการเรียน ผมก็เลยได้มาอยู่ห้อง 1
- ที่บ้านมีอินเตอร์เนตใช้ครั้งแรก URL แรกที่เข้าไปคือ www.ch7.com
- วิชาว่ายน้ำเป็นวิชาบังคับที่เกลียดที่สุด เพราะอาจารย์ชอบเรียกว่า "อ้วน!! มานี่  ลงน้ำ" ฝังใจมาก แถมเป็นโรงเรียนชายล้วนจึงไม่ได้มีผู้หญิงให้มอง มีแต่พวกเทยที่ยืนปิดนม
- สมยศลาออกจากโรงเรียน ผมก็เลยได้มีเพื่อนใหม่ ชื่อ "ยุติ" แต่พวกผมและเพื่อนๆ เรียกกันว่า "ยุ้ย" แถมยังชอบนั่งร้องเพลงของแคลชกันเป็นประจำ ทีมฟุตบอลที่ชอบคือ “ลิเวอร์พูล” ตอนมีแข่งฟุตซอล ยุติจะได้เสื้อเบอร์ 10 เป็นศูนย์หน้าประหนึ่ง Michael Owen ส่วนผมได้เสื้อเบอร์ 4 เป็นกองหลังประหนึ่ง Sami Hyypia
- การเรียกเพื่อนโดยใช้ชื่อพ่อ ชื่อแม่ เป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

==========
การบรรยายของผมก็จบลงแต่เท่านี้ เพราะยิ่งเขียนมันยิ่งใกล้ตัว ยิ่งเริ่มไม่เด็กแล้ว เพราะงั้น ก็เลยขอจบบทความไว้แต่เพียงม.๒ นี้เอง

ปล. ถ้าทุกคนได้อ่านจนจบ ก็จะเข้าใจความหมายของชื่อบทความนี้

Wednesday, November 2, 2011

กำลังใจจากหนึ่งคนเชียร์

เพราะเธอนั้นมีค่า ความโศกเศร้าจึงไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรกับเธอ

ฉันตะโกนเชียร์เธอสุดเสียง
แต่เสียงของฉันอยู่ท่ามกลางเสียงเชียร์อีกนับร้อย

Cheer-U-up

ฉันอาจจะคิดว่า เธอได้รับกำลังใจมากมายแล้ว
ฉันอาจจะคิดว่า เสียงของฉันมันอาจไม่มีความหมาย
ฉันอาจจะคิดว่า หากฉันเงียบไป เสียงที่เธอได้ยินคงไม่ได้เบาลงสักเท่าไหร่

ณ ตอนนี้
ฉันก็ยังคงตะโกนเชียร์เธอต่อไป
แม้ว่าเสียงฉันอาจไม่สำคัญสักเท่าไหร่

แต่ฉันจะสนใจความสำคัญของฉันทำไม
ในเมื่อ...เธอคือคนสำคัญของฉัน

เธออาจจิตตกบ้าง
เธออาจรู้สึกไม่ดีบ้าง

…ไม่เป็นไรนะ…

เสียงเชียร์นี้จะดังต่อไป
จนกว่าใคร จะหมดลมหายใจกันไปข้างนึง

Tuesday, November 1, 2011

ภาพงานวันเกิดพี่โอ

อนึ่ง การสร้างอัลบั้มนี้…เพื่อทดสอบการอัพโหลด
และเชคการใช้อัลบั้มภาพออนไลน์ ไว้ใช้ใน Blog ของ A-Neal ต่อไป

กาลามสูตร 10

“จิตที่มีอคติ เป็นจิตที่มัวหมอง จักขุ่นด้วยริษยา
จิตที่มีแต่ฉันทะ ก็เป็นจิตที่มืดบอด จักเหมือนเช่นคนเขลา
... ... ... ...
จิตแห่งปราชญ์ พึงใช้กาลามสูตรทั้งสิบ แลปัญญา ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”

โดย เอกกี้ (30 ตุลาคม พ.ศ.2554)

     กาลามสูตร เป็นพระสูตรหนึ่งในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แท้จริงแล้วปรากฎเป็นชื่อพระสูตรว่า “เกสปุตตสูตร” ตามชื่อสถานที่ที่พระพุทธเจ้าไปแสดงธรรม คือ “เกสปุตตนิคม” แต่เหตุที่ผู้คนในตำบลนี้ ล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากกาลามโคตรทั้งสิ้น บ้างจึงเรียกพระสูตรนี้ว่า กาลาสูตร เพราะขานได้ง่ายกว่า

     พุทธประวัติตอนนี้โดยย่อ คือ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เกสปุตตนิคม มีชาวบ้านผู้หนึ่งเข้าเฝ้าแลทูลถามว่า
     “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้ มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่างๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆ และสมณพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาอื่น จากนั้นสมณพราหมณ์เหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป ครั้นต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์พวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้ แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตนแต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาอื่น…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่”
     พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสด้วยความเห็นใจชาวบ้านว่า

     “ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย
มา อนุสฺสเวน (อย่าได้ฟังตามกัน)
มา ปรมฺปราย (อย่าได้ปฏิบัติสืบต่อกัน)
มา อิติกิราย (อย่าเล่าลือ)
มา ปิฏกสมฺปทาเนน (อย่าอ้างตำราหรือคัมภีร์)
มา ตกฺกเหตุ (อย่าใช้ตรรกะ)
มา นยเหตุ (อย่าคิดอนุมาน)
มา อาการปริวิตกฺเกน (อย่าแสดงเหตุแสดงผล)
มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา (อย่าพินิจทฤษฎีไว้ก่อน)
มา ภพฺพรูปตาย (อย่าพิจารณาแต่รูปลักษณ์ภายนอก)
มา สมโณ โน ครูติ (อย่าทำตนเป็นสมณะผู้หยั่งรู้)”

มหาสถูปแห่งเกสปุตตนิคม
ภาพมหาสถูปเกสปุตตนิคม ปัจจุบันเรียกว่า มหาสถูปแห่งเกสริยา
(ภาพจาก bloggang.com)

     ในปัจจุบันมีการแปลกาลามสูตรในแง่ของ "การเชื่อ" เป็นหลัก ผมคาดว่าน่าจะเป็นการแปลแบบ “ช่วยสรุปให้” การแปลในปัจจุบันจึงเห็นกันทั่วไปสามลักษณะคือ อย่าเชื่อ, อย่าเพิ่งเชื่อ และ อย่าปลงใจเชื่อ ซึ่งทุกท่านสามารถหาอ่านได้ทั่วไป

     แต่ความเห็นส่วนตัวของผมเอง คำว่า "มา" ภาษาบาลีในองค์ธรรมนี้ หมายถึง "อย่า" ผมอยากให้ทุกคนลองแปลด้วยคำว่า "อย่า" เฉยๆ จะได้ให้ความหมายในทำนองว่า อย่าปฏิบัติ หรือ อย่าคิด ซึ่งน่าจะเป็นคำสอนที่รักษาเนื้อหา และแนวคิดของต้นฉบับเดิมมากกว่า ดังที่ได้เขียนไว้แล้วในวงเล็บข้างต้น