Tuesday, December 20, 2011

หนึ่งคำกระตุ้นความคิด

“ถ้าสุขภาพใจดี อะไรๆ ก็ดีได้เนอะ
ก็มีคนเป็นกำลังใจให้ไง
เอกก็เป็นส่วนหนึ่ง
มีกัลยาณมิตรช่างดีจริงๆ ส่งเสริมความเจริญให้ชีวิต”

          ในชีวิตนี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครเรียกผมว่า “กัลยาณมิตร” ตรงๆ แบบนี้มาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่ต่างออกไปจากแค่คำว่าเพื่อนที่ดี คงเป็นเพราะคำศัพท์มันดูหรูหราขึ้นล่ะมั้ง พอได้ยินคำพูดที่พูดถึงตัวเองทีไร ผมมักจะใช้เวลาพิจารณาตัวเองอยู่เสมอ อธิบายตัวเองอีกครั้งว่าตัวเองมีบุคคลิกอย่างไร มีความคิดอย่างไร เวลากว่าหนึ่งในสี่ของชีวิตผม ผมใช้เพื่อพิจารณาตัวเอง ไม่ว่าทุกคนจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ผมเรียนรู้อย่างจริงจังที่สุดและผมรู้ดีที่สุด คือ “ตัวผมเอง”

          ผมก็ไม่รู้ว่า ผมมีค่าคู่ควรถึงคำว่ากัลยาณมิตรนั่นหรือเปล่า ถ้าให้พูดกันตามตรง ผมเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรให้เป็นกัลยาณมิตร ด้วยสมองที่บอดสีของผม ผมมักมองโลกในมุมที่ต่างจากคนอื่นเล็กน้อย นั่นคงเป็นหนึ่งในการกระทำเล็กๆ ของผม ที่ทำให้ผมเป็นคนที่ต่างจากคนอื่น

หากคุณเห็นโลกสดใส ผมว่ามันก็ไม่ได้สดใสอย่างที่คุณเห็น
แต่เมื่อคุณเห็นโลกเป็นศัตรู ผมว่าโลกมันก็ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คุณคิด
ผมไม่ได้คิดต่าง
ผมไม่ได้ต่อต้าน

…ทุกขณะ…
…ทุกเวลา…
…ทุกวินาทีที่หัวใจผมเต้น…
ผมเห็นโลกทั้งสองมุมมองในเวลาเดียวกัน

นั่นคือเหตุผลว่า เพราะอะไร?
ผมถึงดูไม่สนุก ไม่เฮฮามากมาย ในเวลาที่ผู้คนสังสรรค์กันอย่างครื้นเครง
และ
ผมถึงดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน ในยามที่เหมือนจะหมดสิ้นหนทาง หรือเผชิญหน้ากับปัญหา

          ด้วยบุคคลิกส่วนตัวที่เป็นแบบนี้ ผมคงเป็นที่พึ่งได้สำหรับคนที่ต้องเผชิญกับปัญหา คนที่รู้สึกสิ้นหวัง ผิดพลาด หรือคิดว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เพราะความคิดของผม คงช่วยจุดประกายความหวังเล็กๆ ขึ้นในใจทุกคน แต่สำหรับคนที่กำลังมีความสุขล้นอยู่ ผมก็คงเป็นเหมือนเมฆหมอก ที่บดบังความสวยงามที่อยากเห็นจนทำให้เห็นเพียงลางเลือน

          ที่เขียนอยู่นี้ก็เป็นตัวอย่างของความคิดสองมุมมองที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในหัวของผมเอง มันเป็นแบบนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ดูแคลนตัวเอง ผมไม่ได้ภาคภูมิใจในตัวเองที่เป็นแบบนี้ ผมเพียงแค่ “เข้าใจตัวเอง” ก็เท่านั้นเอง

ขอบคุณ
คำว่า กัลยาณมิตร ที่มอบให้
จะขอเป็นตัวแทนของผู้ไม่เคยสิ้นหวังสืบไป

Tuesday, December 13, 2011

ความหมายของกรุงเทพมหานคร

by เอกกี้

          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระราชทานนามอันเป็นสิริมงคลแก่เมืองหลวงแห่งใหม่นี้ว่า

“กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์
มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ
นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์
อุดมราชนิเวศน์
มหาสถานอมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์”

ผมขอให้คำแปลอย่างหรูๆ ไว้ดังนี้

“เมืองหลวงอันกว้างใหญ่ดุจเมืองสวรรค์ ยิ่งด้วยพระแก้วมรกตอันประเสริฐประดิษฐสถานไว้
เป็นผืนแผ่นดินแห่งพระอินทร์อันเลิศยิ่ง ปราศจากสงครามใดๆ
เมืองอันน่ารื่นรมย์นี้เป็นเมืองแห่งกษัตริย์ผู้ถึงพร้อมด้วยแก้วเก้าประการ
บริบูรณ์ด้วยพระราชวัง อันเป็นที่ประทับแสนยิ่งใหญ่แห่งเทพผู้อวตารลงมาตราบจนนิรันดร
ซึ่งท้าวสักกะเทวราชา ได้พระราชทานให้พระวิษณุกรรมมาเนรมิตไว้จนสำเร็จ”

******************************

          ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จะพระราชทานนามแก้ไขท่อนสร้อยหนึ่งจาก “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์” นั่นคือเปลี่ยนคำว่า

บวร-ประเสริฐ,ล้ำเลิศ
เป็นคำว่า
อมร-ผู้ไม่ตาย,เทวดา

น่าเสียดายที่หลังจากนั้น ในยุคสมัยภายใต้เผด็จการทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร ก็มีการรวมการบริหารของกรุงเทพฯ เข้าร่วมกับธนบุรี เป็นเขตการปกครองพิเศษ แต่มีศักดิ์เทียบเท่ากับจังหวัด ขานชื่อเหลือแค่เพียงว่า “กรุงเทพมหานคร” เท่านั้น

******************************
รัตนโกสินทร์
รัตนะ-แก้ว; โกสินทร์-พระอินทร์

          หากแปลตรงตัวก็คงจะเป็น พระอินทร์แก้ว แต่คำว่า “โกสินทร์” ในที่นี่น่าจะจงใจหมายถึงเทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ นั่นก็คือ พระแก้วมรกต (พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยนั่นเอง

******************************
มหินทรายุธยา
          มหินทร์-พระอินทร์; อยุธยา-เมืองที่ไม่มีการสู้รบ,ปราศจากสงคราม

          แท้จริงจะต้องสะกดด้วย “มหินท์” แต่เพราะเป็นภาษาต่างชาติ การสะกดเป็น “มหินทร์” จึงไม่ผิดเช่นกัน รากศัพท์อีกคำคือ “โยธา” หมายถึง พลรบ,ทหาร ส่วน “โยธยา” ก็คือการใช้กำลังรบ เมื่อมีการเติมคำที่มีความหมายตรงข้าม คือ “อ-” ข้างหน้า จึงผันเป็น “อโยธยา” หรือ “อยุทธยา”จึงแปลได้ว่าเป็นเมืองที่ปราศจากสงครามนั่นเอง อย่างไรก็ตาม หากหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ท เรามักจะพบคำแปลในวรรคนี้ว่า “เป็นเมืองที่ใครๆ ก็ไม่สามารถรบชนะได้” ซึ่งก็เป็นความหมายที่ไม่น่าจะผิดเช่นเดียวกัน

******************************
มหาดิลกภพ
ดิลก-เลิศเลอ, ยอดเยี่ยม, ยกย่อง, เฉลิม ; ภพ-แผ่นดิน

******************************
นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์
นพรัตน์-แก้วเก้าประการ ; ราชธานี-เมืองแห่งกษัตริย์, เมืองหลวง ; บุรีรมย์-เมืองอันน่ารื่นรมย์

          ในวรรคนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากในคำว่า “นพรัตน์” หลายตำราแปลตรงตัวว่า รัตนะทั้งเก้า ซึ่งเป็นอัญมณีที่มีค่ามาก ๙ ชนิดคือ เพชร, ทับทิม, มรกต, บุษราคัม, โกเมน, นิล, มุกดา, เพทาย และไพฑูรย์ นั่นคือ มองคำว่า “นพรัตน์” เป็นคำนามที่ใช้ขยายคำว่า “ราชธานี” จึงมีการแปลโดยให้ความหมายว่าเป็นเมืองที่มั่งคั่ง น่ารื่นรมย์ ด้วยอัญมณีล้ำค่าเหล่านั้น
          แต่ในที่นี้ ผมขอถอดความหมายให้ลึกขึ้นไปอีก โดยมองคำว่า “นพรัตน์ราชะ” สมาสกับคำว่า “ธานี” เพื่อให้คำว่านพรัตน์ใช้ชี้ลักษณะของกษัตริย์แทน กลายความหมายว่า พระราชาที่ถึงพร้อมด้วยแก้วเก้าประการ
          แก้วเก้าประการ ในที่นี้อาจจะต้องกลับไปอธิบายถึงความเชื่อเกี่ยวกับอัญมณีทั้ง ๙ ชนิดข้างต้น ด้วยตำราโบราณมีมาแต่ช้านานเกี่ยวกับการมีรัตนชาติไว้ในครอบครองจะช่วยสงเสริมดวงชีวิตให้ดี และมั่นคงยิ่งขึ้น คุณสมบัติของนพรัตน์มีดังนี้
๑. เพชร มีความหมายถึง ความแข็งแกร่ง ให้พลัง ให้ความเจริญ
๒. ทับทิม มีความหมายถึง สุขภาพที่ดี มิให้เจ็บไข้ได้ป่วย
๓. มรกต มีความหมายถึง ความคุ้มครอง ปกป้องจากศัตรูผู้ปองร้าย
๔. บุษราคัม มีความหมายถึง การมีอายุยืนนาน
๕. โกเมน มีความหมายถึง การมีคนเคารพนับถือ ยกย่อง
๖. นิล มีความหมายถึง ความสงบสุข
๗. มุกดา มีความหมายถึง การปกป้องจากภัยอันตรายจากธรรมชาติ จากงูหรือสัตว์อื่นๆ
๘. เพทาย มีความหมายถึง โชคลาภ
๙. ไพฑูรย์ มีความหมายถึง ชัยชนะ
จากที่ว่ามานี้ คำว่า “นพรัตน์” อาจจะเป็นการเล่นคำในเชิงความหมายก็ได้ ตามตำราแล้วเป็นสิ่งที่เป็นมงคลยิ่งไม่ว่าจะหมายถึงบ้านเมือง หรือหมายถึงกษัตริย์ก็ตาม

******************************
อุดมราชนิเวศน์
อุดม-บริบูรณ์, เต็มไปด้วย, มากมาย ; ราชนิเวศน์-ที่ประทับของกษัตริย์, วัง

******************************
มหาสถานอมรพิมานอวตารสถิต
มหาสถาน-สถานที่อันยิ่งใหญ่ ; อมร-ผู้ไม่ตาย, เทวดา ; พิมาน-ที่อยู่ของของเทวดา ;
อวตาร-ภาคหนึ่งของเทวดา ; สถิต-ตั้งอยู่

          ด้วยความเชื่อและลักษณะการปกครองของสยาม ที่ถือว่าพระมหากษัตริย์เปรียบดั่งสมมติเทพ เป็นภาคหนึ่งของร่างอวตารของพระนารายณ์ตามตำราพราหมณ์ พระราชวัง จึงเป็นดั่งที่ประทับของสมมติเทพนั่นเอง

******************************
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์
ทัต-ให้ ; ประสิทธิ์-ความสำเร็จ, ทำให้สำเร็จ

          วรรคนี้มีชื่อของเทวดาถึงสององค์ด้วยกันคือ “สักกะ” และ “วิษณุกรรม” แปลตรงตัวจากวรรคนี้ก็คือ ท้าวสักกะให้พระวิษณุกรรมสร้างขึ้น หรืออาจแปลให้สวยงามดังเช่นที่เขียนไว้ข้างต้นนั่นเอง
          ว่ากันที่ท้าวสักกะเทวราชา ก่อนแล้วกัน คำว่า “สักกะ” ถ้าแปลตามพจนานุกรมจะหมายถึง “พระอินทร์” ซึ่งเป็นราชาแห่งเทพทั้งปวง แต่หากแปลตามความหมายจะหมายถึง “ผู้องอาจ” จะว่าไปแล้วพระอินทร์ที่คนไทยรู้จักกันดีนั้น ก็มีการขานชื่อตามวรรณกรรมต่างๆ มากมาย ขึ้นอยู่กับการสัมผัสคำกลอนหรือเพื่อความงดงามทางภาษา เช่น ท้าวสหัสเนตร ท้าวสหัสนัยน์ ท้าวสักกะเทวราช ท้าวมัฆวาน ฯลฯ นอกจากนี้ถ้าเทียบกับวัฒนธรรมประเทศอื่น ท้าวสักกะเทวราชนี้ก็จะรู้จักในนาม 帝釋天 (ตี้ซื่อเทียน) หรือ 釋提桓因 (ซื่อถีหวันอิน) ในภาษาจีน หรือ 帝釈天 (ไทชะกุเท็น) ในภาษาญี่ปุ่น
          ส่วน พระวิษณุกรรม นั้น แท้จริงแล้วชื่อตามตำราพราหมณ์คือ พระวิศวกรรมา ซึ่งเป็นเทวดาผู้สร้าง นับเป็นเทพแห่งวิศวกรรม แต่เพราะคนไทยคุ้นเคยกับเทพอีกองค์ คือ พระวิษณุ ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงขานนามพระวิศวกรรมา เป็น “พระวิษณุกรรม” แทน จึงมีหลายต่อหลายคนที่เข้าใจผิด คิดว่า “พระวิษณุ” เป็นเทพแห่งวิศวกรรม ในที่นี้จึงจะขอสรุปให้เข้าใจว่า พระวิษณุ และ พระวิษณุกรรม (พระวิศวกรรมา) เป็นเทพคนละองค์กัน
          ตามตำนานในพระพุทธศาสนา กล่าวได้ว่า พระวิศวกรรมา (พระวิษณุกรรม) เป็นเทพผู้สร้าง เชียวชาญสถาปนิกและวิศวกรรมทุกแขนง เป็นผู้สร้างอาศรมให้แก่พระโพธิสัตว์หลายพระองค์ เป็นผู้เนรมิตบันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว ทอดยาวจากสวรรค์มาสู่โลกมนุษย์
          ตามตำนานของศาสนาฮินดู และพราหมณ์ พระวิศวกรรมา ก็เป็นผู้สร้างศาสตราวุธที่งดงาม ทอแสงด้วยรัศมีแห่งดวงอาทิตย์ คือ ตรีศูลของพระอิศวร จักราวุธของพระนารายณ์ วชิราวุธของพระอินทร์ คทาวุธของท้าวกุเวร และ โตมราวุธของพระขันทกุมาร เป็นต้น
          นอกจากนี้ ยังมีผลงานที่กล่าวถึงในวรรณกรรมที่สำคัญ ได้แก่ เป็นผู้สร้างกรุงลงกาให้แก่ทศกัณฐ์ (ในวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ หรือ รามายณะ), เป็นผู้สร้างวิมานให้แก่พระวรุณ (เทพแห่งสายน้ำ)และพระยม (เทพแห่งความตาย), เป็นผู้สรางราชรถบุษบกให้แก่ท้าวกุเวร, เป็นผู้สร้างกรุงทวารกาให้แก่พระกฤษณะ (ในวรรณกรรมเรื่องมหาภารตะ) และยังเป็นผู้ปั้นนางติโลตตมา นางฟ้าที่งดงามที่สุดบนสวรรค์ด้วย
          ดังนั้น ในวรรคสุดท้ายของชื่อกรุงเทพฯ นี้ จึงหมายถึงความงดงาม ความอลังการ ของเมืองหลวงซึ่งถูกเนรมิตขึ้นด้วยฝึมือของเทวดาที่มีฝึมือที่สุดในสรวงสวรรค์ อันได้รับบัญชาจากเทวราชา ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสวรรค์ พระราชทานให้เนรมิตขึ้นนั่นเอง

Wednesday, November 30, 2011

Learn from the past : THE LION KING (1994)

Simba: I know what I have to do. 
         
but going back will mean facing my past.
          I've been running from it for so long.
[Rafiki hits Simba on the head with his stick]
Simba: Ow! Jeez, what was that for?
Rafiki: It doesn't matter. It's in the past. HAHAHA
Simba: Yeah, but it still hurts.
Rafiki: Oh yes, the past can hurt.
          But the from way I see it, you can either run from it,
          or... learn from it.

[Rafiki swings his stick at Simba again who ducks out of the way]
Rafiki: Ha. You see!!! So what are you going to do?

Friday, November 18, 2011

find ‘a’

…โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง…

eeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeee
eeaaaaaaeeeaaaeeaaaeeeeeaaaaaaeeeeaaaaeeeeaaaaeeeaaaaee
eeeeaaeeeeaaaaaaaaaaeeaaeeeeeeeeaaeeeeaaeeaaeaaeaaeaaee
eeeeaaeeeeaaaaaaaaaaeeaaeeaaaaeeaaaaaaaaeeaaeeaaaeeaaee
eeeeaaeeeeeeaaaaaaeeeeaaeeeeaaeeaaeeeeaaeeaaeeeeeeeaaee
eeaaaaaaeeeeeeaaeeeeeeeeaaaaaaeeaaeeeeaaeeaaeeeeeeeaaee
eeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeee

จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม
เธอคือความสุขของฉัน ถ้าเธอไม่รับมันให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ
ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม

ถ้ารอให้ฉันหยุดหัวใจ
ถ้ารอให้ฉันหันหลังเดินลับหายไป

…ได้…
…ยิน…
…มั้ย…
คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน

Wednesday, November 16, 2011

“อภัยโทษ” ฮือฮากันอีกครั้ง

          วันนี้ผมต้องมาเปิดประเด็นซีเรียสกันนิดนึงอีกแล้วนะครับ เป็นประเด็นการเมืองอีกแล้วล่ะสิ จากกระแสใหม่บนเฟสบุคที่เริ่มมีคนออกมาด่ารัฐบาลกันอีกครั้ง ตามรูปที่เห็นข้างล่างนี้เลย
          ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการพาดหัวของหนังสือพิมพ์สมัยนี้ หลายครั้งหลายคราก็ดูจะจาบจ้วงเกินไปหน่อย ยิ่งในยุคที่คนมักจะอ่านย่อๆ อ่านสั้นๆ แล้วพร้อมที่จะวิจารณ์ทันทีเช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นอะไรที่เหมือนเป็นการซ้ำย้ำรอยแตกแยกให้มันแหลกลงไม่มีชิ้นดี

thaipost

จากพาดหัวนี้ ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ที่เพิ่งออกข่าวไปหมาดเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งพอเห็นคำว่า “อภัยโทษ” หลายคนก็เริ่มร้องโวยวายขึ้นทันทีว่านี่อาจเป็นแผนการเนียนอภัยโทษให้กับผู้หนีอาญาแผ่นดิน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นได้ แต่เดี๋ยวก่อนนะครับอยากให้ใจเย็นๆ กันนิดนึง

          ในช่วงแรกผมเองก็ยังไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก เพราะเท่าที่ตามอ่านจากที่แสดงความเห็นกัน ก็ยังไม่ได้ข้อมูลเนื้อหาอะไรมากมายนัก เท่าที่เห็นก็มีเพียงคำว่า "อภัยโทษ" และตามด้วยคำด่า อีกสักโหลนึงได้

          อันที่จริงแล้ว พระราชกฤษฎีกาในลักษณะนี้ ผมคิดว่าผมเห็นอยู่แทบทุกปี
โดยเฉพาะปีที่เป็นวโรกาสสำคัญต่างๆ ก็จะเห็นการพระราชทานอภัยโทษมากเป็นกรณีพิเศษ ประมาณว่า ลดโทษให้นักโทษในคุก สำหรับนักโทษชั้นดี ฯลฯ ถวายเป็นพระราชกุศล ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ซึ่งเวลานี้ก็ใกล้แล้ว
ซึ่งปีที่แล้ว รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีออกพระราชกฤษฎีกาเช่นนี้เหมือนกัน

<<<คลิกอ่าน พรฎ. ปีที่แล้ว เป็น pdf ตาม link นี้>>>

          เป็นอันว่า...ผมก็เห็นเป็นเรื่องดีที่จะระแวงกันไว้ก่อน จะได้มีการตรวจสอบพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้อย่างละเอียดทุกอักษร

===================================

หลังจากที่ได้อ่าน พระราชกฤษฎีกาปี 2553 กันแล้ว ข้อสังเกตุที่ทำให้ พระราชกฤษฎีกาปีนี้ (15 พ.ย. 54) เป็นที่สนใจ ก็เพราะพระราชกฤษฎีกาปีนี้ มีการตัดคำแนบท้ายจาก พระราชกฤษฎีกาปี2553 ออก ในประโยคที่ว่า

"ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด
และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น"

นั่นหมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้าข่ายการได้รับอภัยโทษด้วย ช่างแลดูเป็นความตั้งใจของรัฐบาลนี้จริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ตามพระราชบัญญัติอภัยโทษ ก็ระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า

“ยกเว้น คดียาเสพติด และคดีคอร์รัปชั่น
จะไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ”

ซึ่งตามหลักกฎหมายไทยก็เรียงลำดับง่ายๆ ได้ว่า

รัฐธรรมนูญ > พระราชบัญญัติ > พระราชกฤษฎีกา

หมายความว่า แม้มีการพระราชกฤษฎีกาโดยตัดคำแนบท้ายออกไป พระราชบัญญัติก็ยังมีเนื้อหาครอบคลุม และมีผลบังคับใช้ด้วย นั่นก็คือ "คดียาเสพติด และคดีคอร์รัปชั่น จะไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ"

ปัญหาที่ควรเป็นประเด็นถกเถียง ความจริงแล้วอาจอยู่ตรงที่...

พระราชกฤษฎีกาที่ไม่เขียนระบุลงไป
จะถือว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาที่ขัดพระราชบัญญัติหรือไม่?

แต่ด้วยวิจารณญาณแล้ว พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ก็ไม่ได้ขัดพระราชบัญญัติแต่ประการใด จึงมีผลบังคับใช้ได้ ซึ่งก็ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่ พ.ต.ท.ทักษิณแต่ประการใด เพราะพระราชบัญญัติมีอำนาจเหนือพระราชกฤษฎีกาอยู่แล้ว แต่หากมองว่าพระราชกฤษฎีกานี้ขัดกับพระราชบัญญัติ นั่นก็หมายความว่า พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นโมฆะ ไม่สามารถมีผลบังคับใช้ได้ตั้งแต่แรก…นักโทษที่มีสิทธิ์ได้รับอภัยโทษในข้อหาอื่นๆ ก็จะไม่ได้รับอภัยโทษกันทั้งบาง

ไม่ว่าผลจะออกมาประการใด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด
การออกพระราชกฤษฎีกาแบบจงใจตัดข้อความบางอย่างออกเช่นนี้
จึงเป็นที่น่าจับตามองมาก

ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจเพื่อไม่ให้มีใจความซ้ำซ้อนกับ พรบ.
หรือเป็นการตั้งใจเพื่อจะเนียนใช้ พรฎ. แล้วมองข้าม พรบ. อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้

การกระทำครั้งนี้ จึงไม่เป็นการดีเลยสำหรับรัฐบาล
ที่มีคนจ้องขัดขา พร้อมกระทืบซ้ำอยู่ทุกหนทุกแห่ง

Tuesday, November 15, 2011

เด็กควรมีพัฒนาการที่เหมาะสม (Rewrite)

          เมื่อสองปีก่อนผมเคยเขียนหัวข้อนี้ใน eakkycu.spaces.live.com ตามที่บันทึกไว้ผมโพสบทความเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นการเขียนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากPoysianz เป็นเรื่องราวของความคิด/วีรกรรมของผมตั้งแต่อนุบาลจนถึงม.๒ ผมลองอ่านๆ ดูแล้วเห็นว่าเข้าที วันนี้ก็เลยเอามาเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง

ตอนอนุบาล
- เคยร้องไห้ตอนกินข้าวกลางวัน เพราะคุณครูบังคับให้กินหมู (เดี๋ยวนี้เขี่ยผักทิ้ง)
- ก่อนกลับบ้านจะมีเต้นๆ ร้องเพลง คุณครูร้องเพลงแล้วถามว่า "ม้าร้องยังไง" ผมก็ร้องตะโกนเสียงดังว่า "ฮี้ฮี้~" ด้วยความภูมิใจว่าตัวเองเป็นเด็กอัจฉริยะมาก
- ไม่ได้เรียนอนุบาล ๒ คือ เรียนอนุบาล ๑ แล้วขึ้นอนุบาล ๓ เลย
- เคยคิดว่าพ่อกะแม่ไม่รัก เลยเอาไปทิ้งไว้กับคุณครู
- เคยไม่ยอมไปโรงเรียน แล้วแม่บอกว่า "คุณครูใช้กล้องส่องทางไกลดูอยู่นะ" ด้วยความที่กลัวคุณครูมากเลยรีบแต่งตัว หยุดร้องไห้ แต่ยังคงสะอื้นไปโรงเรียน
- ติดรายการเจ้าขุนทองมากๆ โดยเฉพาะเพลงที่ร้องว่า “ร่มใบบัง เขียวชะอุ่มรำไร กระโดดเริงใจหากินได้เปรมปรี ชีวิตแสนสบายอยู่กันมาแสนนาน ใต้ร่มไม้เขียวครึ้มเย็น…ป่ามีความรักความสุขมานาน พึ่งพิงอิงพักมาแต่โบราณ เราสำราญอยู่กันมาแสนนานใต้ร่มไม้เขียวครึ้มเย็น…ป่านี้เป็นของเราทุกคน เคยอุ้มชูการุณหลายปี เรารักต้นไม้นานา จะรักษาให้ดีรักป่าที่เราอาศัย ฯ” ฮ่าๆๆ เป็นเด็กรักธรรมชาติ
- ตอนสอบเลขคณิตคิดในใจ เคยตะโกนคิดดังๆ "เอา ๓ ไว้ในใจ ชูขึ้นมา ๔ นิ้ว นับต่อจาก ๓ ที่อยู่ในใจ ๓ แล้วต่อไปเป็น ๔ ๕ ๖ ๗…ตอบเจ็ด" ทำให้เพื่อนทั้งห้องได้ยินแล้วเขียนคำตอบตามกันหมด คุณครูก็เลยลากออกจากห้อง ให้ไปนั่งรอที่ห้องอื่น สุดท้ายก็ต้องไปสอบคนเดียวตอนเย็นๆ
- อยากได้รองเท้านักเรียนใหม่ เพราะอยากได้หุ่นยนต์ที่มันแถมมากับรองเท้า
- เคยได้เต้นโชว์ในงานสมเด็จพระเจ้าตากสินที่โรงเรียน เต้นเพลงแมงมุมของคริสติน่าซะด้วย ภาคภูมิใจซะเหลือเกิน

ตอนป.๑
-
ได้เรียนชั้นล่างของตึก ทำให้คิดว่าถ้าขึ้นป.๒ จะได้เรียนชั้น๒ ทุกวันที่ไปโรงเรียนก็เลยพยายามมองหาชั้น๓ ชั้น๔ ว่ามันอยู่ตรงไหน ทั้งๆ ที่โรงเรียนมีอาคารเรียนแค่ ๒ ชั้น เพราะกลัวว่าพอขึ้นป.๓ แล้วจะหาห้องเรียนไม่เจอ
- ตอนสอบวิชาเขียนไทย คุณครูจะอ่านคำศัพท์ไทยแล้วให้เราเขียนสะกดให้ถูกต้อง เคยเขียนคำว่า "ธี่พัก" แล้วครูก็ให้ผิด แต่ไม่ยอมเลยไปฟ้องครูว่าเวลาครูออกเสียงให้เขียนอ่ะ ครูออกเสียงเป็น ธ ธง ไม่ใช่ ท ทหาร
- น้าเล่นกับน้องอยู่ แล้วน้าแซวผมว่า “พี่เอกเป็นหมาหัวเน่าแล้ว” ก็เลยวิ่งไปหาอาม่าให้ดูหัวให้ว่ามีอะไรติดอยู่ เพราะไม่เข้าใจว่าหมาหัวเน่าคืออะไร
- หลังจากสงสัยว่าหมาหัวเน่าคืออะไร เลยแอบไปถามคุณพ่อ คุณพ่อบอกว่า "แปลว่า เด็กที่ไม่มีคนรักแล้วไง แบบลูกหมาที่แม่มันทิ้งนั่นแหละ" หลังจากนั้นผมก็เลยซึมไปเป็นอาทิตย์ ไม่พูดไม่จากับใครแถมยังเกลียดน้องมาก จนโดนคุณแม่ตีแล้วถามว่าทำไมชอบแกล้งน้อง ถึงได้บอกไปว่า "ก็น้าบอกว่าเอกเป็นหมาหัวเน่า" แล้วก็ร้องไห้หนีไปกอดอาม่า…สุดท้าย อาม่าก็เลยเรียกให้น้ามาขอโทษ ฮ่าๆๆ (สมน้ำหน้า จะพูดอะไรกับเด็กต้องระวังเหมือนกันนะ)

ตอนป.๒
- คุณครูประจำชั้น (คุณครูสดใส) ได้ออกรายการ "รักลูกให้ถูกทาง" แล้วมาบอกในห้องเรียนตอนเช้าว่าให้ดูรายการนั้นด้วย พอกลับบ้านผมเลยบอกแม่ว่าต้องดูโทรทัศน์เพราะครูให้เป็นการบ้าน แต่แม่เปลี่ยนช่อง ผมเลยร้องไห้เพราะกลัวว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้คุณครูถามแล้วจะตอบไม่ได้ (คิดว่าจะมีการบ้านอยู่ในรายการ)
- การทำการบ้านวิชางานประดิษฐ์ และวิชาศิลปะ คือวิชาที่เก็บเอางานมาให้คุณพ่อกับคุณแม่ที่บ้านช่วยทำแล้วเอาไปส่ง
- วิชาคัดไทยและคัดอังกฤษ เป็นวิชาที่มีเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อคัดหนังสือแค่ ๑ หน้าแต่ก็ทำแทบไม่ทันทุกชั่วโมง
- เคยเอาตะปูจากข้างบ้านซึ่งเป็นช่างทำรองเท้า ไปวางบนทางรถไฟหน้าบ้านแล้วโดนอาม่าตี อาม่าบอกว่า "เดี๋ยวรถไฟยางแตก ตกรางนะ" ร้องไห้ไปแป้บนึง แต่พอรถไฟวิ่งผ่าน ก็วิ่งไปดูผลงานแล้วก็เถียงอาม่าในใจว่า "รถไฟยางไม่แตกซะหน่อย ทับซะตะปูแบนเลยเนี่ยะ" ตั้งแต่นั้นมาก็ลองเอาอะไรไปวางอีกเยอะ (เด็กๆ ไม่ควรเลียนแบบนะ ฮ่าๆๆๆ)

ตอนป.๓
- เคยคิดว่าตัวเองวิ่งเร็วที่สุดในโลก เพราะวิ่งกลับบ้านแล้ววิ่งแซงมอไซที่วิ่งในซอย
- บ้าขบวนการเรนเจอร์มากๆ เคยคิดว่าโตขึ้นจะซื้อหุ่นยนต์มาขับเล่น
- ถูกรุ่นพี่ที่เป็นเวรสารวัตรนักเรียนจับให้นั่งพนมมือเป็นการทำโทษ เพราะเล่นวิ่งไล่จับแล้วไปกระโดดข้ามยางที่เด็กผู้หญิงเขาเล่นกันอยู่ หลังจากนั้นมากก็ไม่กล้าวิ่งเล่นอีกเลย
- เป็นครั้งแรกที่สงสัยว่าทำไมต้องสวดมนตร์เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไร แล้วคุณครูบอกว่าเพราะศาสนาพุทธมีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย ทำให้คิดว่าที่ท่องอยู่เป็นภาษาอินเดีย
- ใส่ชุดลูกเสือแล้วคิดว่าตัวเองมีญาณวิเศษมองเห็นอนาคตได้ เพราะตอนเรียนมาหมวกลูกเสือสำรองป.๑ จะมีหนึ่งดาว ครูบอกว่าเหมือนลูกเสือเปิดตาข้างนึง พอขึ้นป.๒ ก็มีสองดาว ป.๓ เลยคิดว่ามีตาที่สาม เป็นเทพสามตา หยั่งรู้อนาคต
- เคยถูกทิ้งไว้ที่โรงเรียนถึงสองทุ่มครึ่ง เพราะอาม่าคิดว่าแม่ไปรับ แม่คิดว่าพ่อไปรับ และพ่อก็คิดว่าอาม่าไปรับ ก็เลยไม่มีใครมารับสักคน ทำให้เป็นครั้งแรกที่การจำเบอร์โทรศัพท์บ้านมีประโยชน์ ตอนนั้นหิวมากด้วย คุณครูให้กินทุเรียนซึ่งเป็นอะไรที่เกลียดมาก แต่ก็กินไปร้องไห้ไป เป็นช่วงเวลาที่น่าสงสารที่สุดในชีวิตแระ

ตอนป.๔
- ลืมเอาเสื้อพละไปโรงเรียน ต้องรวบรวมความกล้ามากเพื่อขอคุณครูโทรศัพท์กลับบ้านให้พ่อเอามาให้ แต่ว่าไม่กล้า ก็เลยร้องไห้ไปหาคุณครู
- ทำการบ้านตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงสี่ทุ่มทุกวัน เพราะคุณครูให้การบ้านเยอะมาก ไม่มีเวลาเล่นเลย
- การติดแอร์ที่บ้าน เป็นเรื่องที่หรูมาก สามารถคุยโวได้เป็นเดือน "บ้านเราติดแอร์ด้วยแหละเธอ~" เพื่อนๆ สนใจกันทั้งห้อง เป็นอะไรที่ประหลาดมาก
- เป็นอีกครั้งที่สงสัยว่าตอนเป็นลูกเสือสำรอง ทำไมต้องร้อง "อาเคล่า เราจะทำดีที่สุด" แล้วกระโดดๆ ชูสองนิ้ว (สงสัยทั้งๆ ที่เมื่อปีที่แล้วก็ยังทำอยู่เลย) เพื่อนให้คำตอบว่า "ก็เพราะเป็นเมาคลีลูกหมาป่าไง ตอนเรียนครูก็สอน" เลยรู้สึกเหมือนโดนด่าว่าไม่ตั้งใจเรียน ก็เลยเลิกถามเรื่องลูกเสือตั้งแต่นั้นมา

ตอนป.๕
- เอากล้องถ่ายรูปไปโรงเรียนตอนปีใหม่ เพื่อจะถ่ายรูปคุณครูและเพื่อนๆ ที่โรงเรียน สมัยนั้นมีแต่กล้องฟิล์ม ปกติถ้าเป็นกล้องอัตโนมัติ เวลาถ่ายจนหมดม้วนแล้วมันจะกลอกลับให้เองเรียบร้อย ...แต่กล้องที่คุณแม่ให้เอาไปโรงเรียนเป็นกล้องถูกๆ ที่หมุนฟิล์มเองแล้วถ่าย พอถ่ายจนหมดม้วนแล้วก็ไม่รู้ว่าจะให้มันกลอยังไง เลยถามเพื่อนว่าทำยังไง เพื่อนมันก็เปิดด้านหลังที่ใส่ฟิล์มไว้ออกมา แล้วนั่งม้วนฟิล์มกลับเข้าไปเอง พอเอาฟิล์มไปล้าง เขาก็บอกว่าเสียหมด เลยเล่าให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อเอาไปบอกครู เพื่อนคนนั้นก็เลยโดนครูตี
- ได้เป็นเวรทำหน้าที่สารวัตรนักเรียนบ้าง เลยแก้แค้นกับรุ่นน้อง เห็นใครวิ่งๆ จับมานั่งพนมมือหมด
- เกลียดการเข้าห้องสมุดเป็นที่สุด เพราะเข้าแล้วไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ก็ถูกบังคับด้วยกฎว่าต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีโต๊ะให้นั่ง (แต่พอมัธยมห้องสมุดกลายเป็นที่สิงสถิตของผมซะงั้น)
- เคยเขียนจดหมายลาตายพร้อมให้มรดก ยกเกมกดให้น้อง เพราะเป็นอีสุกอีใสแล้วเพื่อนบอกว่าเป็นเอดส์
- ตอนหยุดเรียนที่เป็นอีสุกอีใส ดูแผลแล้วมันมีน้ำๆ เหมือนแผลไฟไหม้ เลยเอาเข็มจิ้มๆ แล้วแกะแผลดู ข้างในมีสะเก็ดน้ำตาลๆ ทำให้เข้าใจเอาเองว่าทำไมถึงเรียกว่าอีสุกอีใส พอไปบอกเพื่อน เพื่อนมันบอกว่าจิงหรอๆ แกะดูด้วยหรอ…สงสัยกันใหญ่
- เล่นสเกตบอร์ดครั้งแรก เพราะโดนอาม่าบอกให้ลองเล่น สงสัยจะกลัวว่าหลานจะเป็นตุ๊ด เห็นขี้แย ร้องไห้ประจำ พอจะเล่นเป็นแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็พาไปซื้อ... แต่พอเล่นแล้วก็ไม่เห็นสาวๆ จะสนใจเลย พอขึ้นม.๑ ปรากฎว่ากระแสของลอเลอร์สเกตมาแรงกว่า แต่ผมเล่นเป็นแต่สเกตบอร์ด ก็เลยดูเป็นเด็กแนวซะงั้น

ตอนป.๖
- ได้นำสวดมนตร์คู่กับเพื่อน แล้วแข่งกันเสียงดังที่สุดเพื่อนให้เด่นกว่าอีกคน
- เรียนสังคม คุณครูเล่าเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องนรก สวรรค์ ตอนนั้นรู้สึกว่าเรื่องนรกน่ากลัวมาก แต่เพื่อนมันฮากันทั้งห้อง จำได้ว่าเขียนใส่ในสมุดจดการบ้านเลยว่า "เพื่อนแม่งซาดิสชิบเป๋ง" ฟังเรื่องปีนต้นงิ้วหนามๆ มีหอกแทงๆ ข้างล่าง ปีนไปข้างบนมีนกกาจิกเนื้อ จิกตา มีลงกระทะทองแดง ทอดๆ ดิ้นทุรนทุราย.... เพื่อนๆ มันทนฟังกันได้ไงฟะ!!!! สาดดดดดดดดดด ซาดิสมากๆ
- เคยแอบขึ้นไปเป็นตัวแทนร้องเพลงปีใหม่ทั้งๆ ที่ไม่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทน
- เล่นบาร์โหนในโรงเรียน แล้วสามารถไต่จากฝั่งนึงมาอีกฝั่งนึงสำเร็จเป็นครั้งแรก
- ได้ไปเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดประยูร สอบไล่ได้ที่ ๑ ที่ ๒ ตลอด ทำให้คิดว่าตัวเองเก่งมากๆ ถ้าเทียบกับโรงเรียนอื่น แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ความหมายของบทสวดมนตร์ที่ท่องมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่นี่สวดแล้วแปลด้วย!!
- เรียนธรรมศึกษา และได้สอบธรรมสนามหลวง ได้เป็นนักธรรมตรี ภาคภูมิใจที่สุด
- ตอนที่ไปนมัสการพระอาจารย์ที่วัดประยูร โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ พระอาจารย์กำลังติวหนังสือให้พี่ม.๒ แล้วมีการทดสอบสมาธิให้คิดเลขในใจ ผมกับคุณพ่อกำลังคุยอยู่กับพระอาจารย์อีกรูปอยู่ เห็นตอบไม่ได้กันแล้วโวยวายเสียงดัง เลยตะโกนคำตอบไปด้วยความรำคาญ ตะลึงกันหมด!!! พระอาจารย์ก็เลยตั้งโจทย์ใหม่ให้คิดในใจเล่นๆ ต่อ
- ตกหลุมรักสาวครั้งแรก ชื่อ "พร" เรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์เหมือนกัน ผมเด่นเรื่องเรียน ส่วนพรเก่งเรื่องดนตรีไทย รำไทย จำได้ว่าแค่เห็นหน้าก็เขินแล้ว และตอนมีงานสงกรานต์ มีการแสดง มีแข่งขันตอบปัญหา คุณพ่อกับคุณแม่ก็เข้าไปคุยกับแม่ของพรตอนที่จบการแสดงด้วย ผมก็เลยได้ถ่ายรูปกับพรด้วย (ตอนนี้ไม่รู้รูปยังอยู่ป่าว ฮ่าๆๆ)
- ไปเข้าค่ายลูกเสือ แล้วโดนคุณครูตีตอนเช้า เพราะเพื่อนกินขนมตอนกลางคืนแล้วไม่เก็บให้เรียบร้อย แต่เพราะเป็นหัวหน้าหมู่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นพอปล่อยพักตอนเช้าก็กลับไปที่ห้องพัก ทำความสะอาดคนเดียวแล้วก็แอบร้องไห้ แต่เพื่อนมันก็รู้เลยมาขอโทษกันทั้งหมู่
- เคยแอบรวมกลุ่มกับเพื่อนก่อตั้งชมรมลึกลับคิดภาษา "สุรสิทธิ์" ซึ่งมาจากชื่อ เอกสิทธิ์ กับ สุรชัย (สิ้นคิดมากๆ) เป็นภาษาที่เขียนด้วยสัญลักษณ์ประหลาดๆ ที่เข้าใจกันเองในกลุ่มเพื่อนสนิท สามคน แล้วส่งโน๊ตไปมาข้ามห้องกันโดยถ้าหากคุณครูจับได้ก็ไม่รู้ว่ากระดาษนั่นมีสัญลักษณ์หมายถึงอะไร แถมมีท่าทาง/อิริยาบถสำหรับตัวเลข ๐-๙ และตัวอักษร ก-ง คือ ยกมือขึ้นเกาหัวหมายถึง ก., วางปากกาลงข้างกระดาษคำตอบหมายถึง ข., เอามือจับคางทำท่าคิดๆ หมายถึง ค., ใช้ยางลบดินสอหมายถึง ง.  เรียกได้ว่าถ้าจะทุจริตการสอบก็ทำได้สบายๆ ชมรมนี้มีผมเป็นประธานชมรม มีสุรชัยเป็นรองประธาน แบบตั้งๆ กันเอง แล้วพอเรียนจบป.๖ ก็ไม่น่าเชื่อว่าพอนับๆ สมาชิกดูแล้ว ก็มีสมาชิกในชมรมเป็นสิบๆ คน (เรื่องนี้คุณแม่เคยจับได้เพราะเห็นรายชื่อชมรม แล้วคุณแม่มาถามว่าชมรมอะไร? แต่ผมบอกไปว่า ไม่มีอะไรแค่เขียนเล่นๆ เฉยๆ เพราะกลัวว่าแม่จะรู้ว่ากำลังคิดการส่งซิกในห้องสอบอยู่ แล้วจะเอาไปฟ้องครู)
- ในสมุดโทรศัพท์มีเบอร์โทรดารานักร้องเยอะมาก มีเบอร์เพจเจอร์ด้วย เพราะลอกมาจากสมุดโทรศัพท์เพื่อนที่มีแม่ทำงานที่ค่าย RS เพราะคิดว่ามีเบอร์ดาราแล้วเท่

ตอนม.๑
- ได้ย้ายโรงเรียนเป็นครั้งแรก ซึ่งโควต้าโรงเรียนใกล้บ้านที่สามารถจับฉลากเข้าได้ มีแค่โรงเรียนศึกษานารี ดังนั้นผมจะเข้าเรียนที่ไหนก็ต้องสอบเข้าสถานเดียว
- สมัครสอบเข้าที่สวนกุหลาบ แต่ไม่ติด (ก็เพราะไม่ได้อ่านหนังสือ) ทำให้พ่อแม่วุ่นวายใจมาก กลัวลูกจะไม่มีที่เรียน แต่ในความวุ่นวายของพ่อแม่ ผมก็ยังคงนั่งเล่นเกมอยู่บ้านอย่างสนุกสนาน อารมณ์ประมาณว่าไม่มีที่เรียนก็ไม่ต้องเรียน
- สุดท้ายได้เข้าเรียนโรงเรียนวัดราชบพิธ โรงเรียนชายล้วนอีกโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยอยู่ห้องม.๑/๗ ซึ่งเป็นห้องที่ถูกเรียกว่า "เด็กเกลี่ย"  เพราะถูกเกลี่ยมาจากเด็กที่สอบไม่ติดสวนกุหลาบ
- ห้องเด็กเกลี่ย เป็นห้องที่เรียนดีที่สุดในระดับชั้น ภาคภูมิใจยิ่งนัก
- วิชาสังคมเป็นวิชาที่อาจารย์เล่าประวัติศาสตร์ได้น่าสนใจที่สุดในโลก ประหนึ่งกำลังอ่านนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริง ผมเพลินมากถึงขนาดเขียนคำพูดของอาจารย์ลงในหน้าหลังสุดของสมุดได้ประมาณหนึ่งหน้าต่อวัน
- วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่เด็กๆ นั่งนับคำว่า "นะ" ของอาจารย์ แล้วทำบันทึกเป็นสถิติ พบว่าแต่ละคาบ อาจารย์พูดคำว่า "นะ" เฉลี่ยแล้ว ๕ ครั้งต่อนาที
- ผมได้รับรางวัลเป็นขนมห่อใหญ่จากอาจารย์ที่สอนสังคม เนื่องจากส่งการบ้านแล้วอาจารย์เห็นที่จดด้านหลังสมุดเป็นหน้าๆ อาจารย์ประทับใจสุดๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนเลคเชอร์เรื่องที่เขาเล่า
- มีเพื่อนสนิทชื่อ "สมยศ" เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ขาวๆ น่ารักมาก โดนเพื่อนชื่อ "สาธิต" แกล้งเป็นประจำ ผมเห็นบ่อยๆ ก็ทนไม่ไหว สงสารมากก็เลยแอบไปฟ้องอาจารย์ สาธิตโดนอาจารย์ตีด้วยไม้ที่ใช้เรียนกระบี่กระบอง ร้องไห้ในที่สุด
- วิชาศิลปะและงานประดิษฐ์ก็ยังคงเป็นวิชาที่งานมาให้แม่ทำให้อยู่ดี
- แต่งกลอนวันสุนทรภู่ ๓ บทส่งประกวด จำได้ว่ามีเนื้อหาท่อนที่บอกว่าสุนทรภู่ติดเหล้า แล้วมีเมียหลายคนด้วย (มันสรรเสริญสุนทรภู่ตรงไหนฟะ) ตอนแรกคิดว่าจะแต่งเล่นๆ แต่เพื่อนยุว่า “ส่งดิ! ส่งดิ!” อาจารย์ประจำชั้นสนใจอยากอ่านเลยคว้าไปจากมือ อาจารย์อ่านแล้วมองหน้า สบตาสามที แล้วถอนหายใจ แต่อาจารย์ก็รับไป (คาดว่าจะเอาไปให้อาจารย์คนอื่นอ่านให้ฮาๆ ล่ะมั้ง)
- ได้ถือป้ายในกีฬาสี แต่งตัวเป็นกุมารทองอวบอ้วนน่ารัก แต่งหน้าทาปากซะแดง

ตอนม.๒
- ได้ย้ายห้องโดยมีการแบ่งตามผลการเรียน ผมก็เลยได้มาอยู่ห้อง 1
- ที่บ้านมีอินเตอร์เนตใช้ครั้งแรก URL แรกที่เข้าไปคือ www.ch7.com
- วิชาว่ายน้ำเป็นวิชาบังคับที่เกลียดที่สุด เพราะอาจารย์ชอบเรียกว่า "อ้วน!! มานี่  ลงน้ำ" ฝังใจมาก แถมเป็นโรงเรียนชายล้วนจึงไม่ได้มีผู้หญิงให้มอง มีแต่พวกเทยที่ยืนปิดนม
- สมยศลาออกจากโรงเรียน ผมก็เลยได้มีเพื่อนใหม่ ชื่อ "ยุติ" แต่พวกผมและเพื่อนๆ เรียกกันว่า "ยุ้ย" แถมยังชอบนั่งร้องเพลงของแคลชกันเป็นประจำ ทีมฟุตบอลที่ชอบคือ “ลิเวอร์พูล” ตอนมีแข่งฟุตซอล ยุติจะได้เสื้อเบอร์ 10 เป็นศูนย์หน้าประหนึ่ง Michael Owen ส่วนผมได้เสื้อเบอร์ 4 เป็นกองหลังประหนึ่ง Sami Hyypia
- การเรียกเพื่อนโดยใช้ชื่อพ่อ ชื่อแม่ เป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

==========
การบรรยายของผมก็จบลงแต่เท่านี้ เพราะยิ่งเขียนมันยิ่งใกล้ตัว ยิ่งเริ่มไม่เด็กแล้ว เพราะงั้น ก็เลยขอจบบทความไว้แต่เพียงม.๒ นี้เอง

ปล. ถ้าทุกคนได้อ่านจนจบ ก็จะเข้าใจความหมายของชื่อบทความนี้

Wednesday, November 2, 2011

กำลังใจจากหนึ่งคนเชียร์

เพราะเธอนั้นมีค่า ความโศกเศร้าจึงไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรกับเธอ

ฉันตะโกนเชียร์เธอสุดเสียง
แต่เสียงของฉันอยู่ท่ามกลางเสียงเชียร์อีกนับร้อย

Cheer-U-up

ฉันอาจจะคิดว่า เธอได้รับกำลังใจมากมายแล้ว
ฉันอาจจะคิดว่า เสียงของฉันมันอาจไม่มีความหมาย
ฉันอาจจะคิดว่า หากฉันเงียบไป เสียงที่เธอได้ยินคงไม่ได้เบาลงสักเท่าไหร่

ณ ตอนนี้
ฉันก็ยังคงตะโกนเชียร์เธอต่อไป
แม้ว่าเสียงฉันอาจไม่สำคัญสักเท่าไหร่

แต่ฉันจะสนใจความสำคัญของฉันทำไม
ในเมื่อ...เธอคือคนสำคัญของฉัน

เธออาจจิตตกบ้าง
เธออาจรู้สึกไม่ดีบ้าง

…ไม่เป็นไรนะ…

เสียงเชียร์นี้จะดังต่อไป
จนกว่าใคร จะหมดลมหายใจกันไปข้างนึง

Tuesday, November 1, 2011

ภาพงานวันเกิดพี่โอ

อนึ่ง การสร้างอัลบั้มนี้…เพื่อทดสอบการอัพโหลด
และเชคการใช้อัลบั้มภาพออนไลน์ ไว้ใช้ใน Blog ของ A-Neal ต่อไป

กาลามสูตร 10

“จิตที่มีอคติ เป็นจิตที่มัวหมอง จักขุ่นด้วยริษยา
จิตที่มีแต่ฉันทะ ก็เป็นจิตที่มืดบอด จักเหมือนเช่นคนเขลา
... ... ... ...
จิตแห่งปราชญ์ พึงใช้กาลามสูตรทั้งสิบ แลปัญญา ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”

โดย เอกกี้ (30 ตุลาคม พ.ศ.2554)

     กาลามสูตร เป็นพระสูตรหนึ่งในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แท้จริงแล้วปรากฎเป็นชื่อพระสูตรว่า “เกสปุตตสูตร” ตามชื่อสถานที่ที่พระพุทธเจ้าไปแสดงธรรม คือ “เกสปุตตนิคม” แต่เหตุที่ผู้คนในตำบลนี้ ล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากกาลามโคตรทั้งสิ้น บ้างจึงเรียกพระสูตรนี้ว่า กาลาสูตร เพราะขานได้ง่ายกว่า

     พุทธประวัติตอนนี้โดยย่อ คือ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เกสปุตตนิคม มีชาวบ้านผู้หนึ่งเข้าเฝ้าแลทูลถามว่า
     “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้ มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่างๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆ และสมณพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาอื่น จากนั้นสมณพราหมณ์เหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป ครั้นต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์พวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้ แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตนแต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาอื่น…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่”
     พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสด้วยความเห็นใจชาวบ้านว่า

     “ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย
มา อนุสฺสเวน (อย่าได้ฟังตามกัน)
มา ปรมฺปราย (อย่าได้ปฏิบัติสืบต่อกัน)
มา อิติกิราย (อย่าเล่าลือ)
มา ปิฏกสมฺปทาเนน (อย่าอ้างตำราหรือคัมภีร์)
มา ตกฺกเหตุ (อย่าใช้ตรรกะ)
มา นยเหตุ (อย่าคิดอนุมาน)
มา อาการปริวิตกฺเกน (อย่าแสดงเหตุแสดงผล)
มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา (อย่าพินิจทฤษฎีไว้ก่อน)
มา ภพฺพรูปตาย (อย่าพิจารณาแต่รูปลักษณ์ภายนอก)
มา สมโณ โน ครูติ (อย่าทำตนเป็นสมณะผู้หยั่งรู้)”

มหาสถูปแห่งเกสปุตตนิคม
ภาพมหาสถูปเกสปุตตนิคม ปัจจุบันเรียกว่า มหาสถูปแห่งเกสริยา
(ภาพจาก bloggang.com)

     ในปัจจุบันมีการแปลกาลามสูตรในแง่ของ "การเชื่อ" เป็นหลัก ผมคาดว่าน่าจะเป็นการแปลแบบ “ช่วยสรุปให้” การแปลในปัจจุบันจึงเห็นกันทั่วไปสามลักษณะคือ อย่าเชื่อ, อย่าเพิ่งเชื่อ และ อย่าปลงใจเชื่อ ซึ่งทุกท่านสามารถหาอ่านได้ทั่วไป

     แต่ความเห็นส่วนตัวของผมเอง คำว่า "มา" ภาษาบาลีในองค์ธรรมนี้ หมายถึง "อย่า" ผมอยากให้ทุกคนลองแปลด้วยคำว่า "อย่า" เฉยๆ จะได้ให้ความหมายในทำนองว่า อย่าปฏิบัติ หรือ อย่าคิด ซึ่งน่าจะเป็นคำสอนที่รักษาเนื้อหา และแนวคิดของต้นฉบับเดิมมากกว่า ดังที่ได้เขียนไว้แล้วในวงเล็บข้างต้น

Friday, October 28, 2011

กระแส…พระราชดำรัส

พักหลังๆ ผมเห็นการเขียนพระราชดำรัสมากมาย
บ้างอ้างว่าเป็นคำรำพึง บ้างอ้างว่าคำกล่าวแต่คนสนิท
มิได้เป็นทางการ หรือมีมูลเท็จจริงประการใด

แต่คนก็ส่งต่อกัน ด้วยซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
. . . . . . . . . .

     ทุกวันนี้ข้อความต่างๆ เหล่านี้ถูกส่งต่อกันผ่านสังคมออนไลน์มากมาย ล้วนแล้วแต่กินใจ และซาบซึ้งใจยิ่ง หากแต่ว่าจะมีใครได้ขบคิด ว่าหากข้อความเหล่านั้นไม่ได้เป็นพระราชดำรัส ท่านที่ส่งต่อข้อความทั้งหลายจะรู้สึกเช่นไร

บ้างว่า… ไม่เป็นไรนี่ เพราะเป็นเรื่องดีๆ ไม่ได้เสียหายสักหน่อย
บ้างว่า… ถึงแม้จะไม่ใช่พระราชดำรัส แต่ก็น่าจะเป็นพระราชดำริของพระองค์
บ้างว่า… ก็แค่อยากเปรียบเทียบกับไอ้พวกนักการเมืองเหียกๆ ที่ตนไม่ชอบ

     ไม่ว่าท่านจะคิดเห็นเช่นใด ผมว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการดึงพระองค์ท่านลงมาเปรียบเทียบกับคนที่ท่านไม่ชอบนั่นแหละ ยิ่งท่านเขียนเปรียบเทียบมากเช่นไร เท่ากับว่าท่านกำลังดึงพระองค์ท่านลงมามากเท่านั้น …ล่าสุดพระบรมมหาราชวังถึงขั้นออกหนังสือชี้แจงถึงข้อความที่ส่งต่อกันในสังคมออนไลน์ ว่าไม่มีใครรู้เรื่อง หรือรับรองว่าเป็นเรื่องจริงกันเลยทีเดียว

     ดังนั้น ผมเองก็อยากให้ทุกคนขบคิดเล่นๆ ฉุกคิดสักนิด การส่งต่อความประทับใจเหล่านั้น มันเป็นผลดี จริงหรือไม่?

เรื่องนี้เอาจริงๆ ผมว่าก็พูดยาก แต่ผมขอให้คิดกันให้มากก็แล้วกันครับ

ยิ่งในยามที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากทุกคนได้ย้อนอ่านและรับรู้ว่าการเมืองไทยที่ผ่านมานั้น ก้าวไปเช่นไรบ้าง ท่านอาจจะคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์ถัดไปต่อจากนี้ จะเป็นเช่นไร เพราะ…

“ประวัติศาสตร์มันมักจะซ้ำรอยเสมอ”

สุดท้ายนี้…
ผมขอฝากพระราชดำรัสตอนหนึ่งไว้ให้ขบคิด

“…ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน แก้ปัญหา เพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฎิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่า จะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง…”

พระราชดำรัสสมัย พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
เมื่อครั้งที่
พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2535 เวลา 21.30 น.

Wednesday, October 26, 2011

แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี

เอกกี้ฟังแล้วเพลีย ใช้ภาษาทางการที่วกวนสับสน จับใจความลำบาก!!!
…โดยรวมแล้ว เนื้อหาครบถ้วนดี แต่การสื่อสารไม่ดี…
ก็เลยนั่งฟังแล้วถอดความมาให้อ่านกัน!!!!

===เกริ่น===
1. น้ำจะผ่านกรุงเทพฯ เพื่อลงสู่ทะเล และรัฐบาลกำลังวางแผนจะให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
2. คาดว่าแรงดันน้ำจะมากเกินกว่าที่พนังกั้นน้ำจะรับไหว น้ำอาจจะทะลักเข้ามาได้ทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯ ใครใกล้สุดก็ซวยที่สุด ใครไกลออกไปก็ได้รับผลกระทบลดหลั่นกันไปไม่เท่ากัน
3. รัฐบาล, กทม., กระทรวงกลาโหม และทหารบก จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ และเอกชน ก็จะต้องช่วยกันป้องกันด้วย

===สถานการณ์===
4. ทางตะวันตกของกรุงเทพฯ รัฐบาลจะป้องกันบริเวณคลองมหาสวัสดิ์ โดยจะปลอดน้ำไหลลงแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำทั้งสองมีคันกันอยู่ซึ่งรัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อจะรักษาคันกันแม่น้ำนั้นให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามให้กลับไปอ่านข้อ 2 อีกที โดยน้ำจะท่วมสูงประมาณครึ่งเมตร
5. ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ รัฐบาลจะปิดประตูน้ำปากคลองเปรมประชากร เพื่อลดแรงดันน้ำ ใครที่อยู่แถบดอนเมือง วิภาวดี ก็ต้องทนกันหน่อย เพราะรัฐบาลจะป้องกันกรุงเทพชั้นใน แต่รัฐบาลจะช่วยระบายน้ำนั้นโดยเร็วที่สุดด้วยการระบายน้ำจากคลองรังสิต ไปลงคลองหกวาสายล่าง ทั้งนี้รัฐบาลจะพยายามควบคุมระดับน้ำไม่ให้เกินครึ่งเมตร (เหมือนกับทางตะวันตก)
6. ทางตะวันออกของกรุงเทพฯ แถวๆ มีนบุรี หนองจอก ลาดพร้าว ...รัฐบาลได้ขุดคลองมากมายเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นขอให้วางใจได้ว่าน้ำจะระบายได้เร็ว แต่ว่า!!!! ส่วนนี้น้ำจะท่วมสูงกว่าที่อื่น โดยน้ำจะท่วมสูงประมาณเมตรเศษ
7. ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือ แนวกั้นน้ำพัง หรือน้ำทะเลหนุน จะทำให้กรุงเทพฯ ท่วม โดยระดับน้ำที่ท่วมจะมีตั้งแต่ 10เซน ถึงเมตรครึ่ง แล้วแต่ละพื้นที่... แต่รัฐบาลจะให้น้ำท่วมน้อยที่สุด และทำให้น้ำลดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้เครื่องสูบน้ำทั้งหมดที่มีอยู่ เรือผลักดันน้ำ

===เตือนประชาชน และหน่วยงานรัฐ===
8. เพื่อความไม่ประมาท ขอให้ทุกคนเก็บของขึ้นที่สูง
9. รัฐบาลได้กำชับทุกหน่วยงานให้ดูแลสถานที่สำคัญ คือ วัง โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า โรงประปา อย่างดีที่สุด
10. ดังที่กล่าวไปแล้วในข้อ 5 ว่าดอนเมืองน้ำจะท่วม... เย็นนี้ จะย้ายคนที่อยู่ที่ศูนย์อพยพดอนเมือง ไปอยู่ศูนย์อพยพอื่นหรือไปต่างจังหวัด และจะย้ายของบริจาคที่อยู่ศูนย์ดอนเมือง มาเก็บที่สนามศุภฯ แทน ดังนั้นใครมีใจอาสา ก็สามารถไปช่วยกันได้ที่สนามศุภฯ นะจ๊ะ นะจ๊ะ

==========
นอกจากเรื่องน้ำแล้ว
- ประกาศวันที่ 21-31 ตุลาคม เป็นวันหยุดราชการพิเศษ
- สำหรับสถานที่ราชการ จะหยุดตั้งแต่วันที่ 27-31 ตุลาคม ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับน้ำ รัฐบาลขอความกรุณาให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนด้วย
- สถานที่ราชการในต่างจังหวัด ก็พร้อมที่จะรับเป็นที่พักชั่วคราวได้ โดยรัฐบาลให้กระทรวงคมนาคมและกระทวงมหาดไท เป็นฝ่ายรับผิดชอบแล้ว
- เครื่องอุปโภค บริโภค การสาธารณสุข แพทย์ฉุกเฉิน และการให้ข่าวสารที่ถูกต้องรวดเร็ว รัฐบาลจะทำทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ให้ดีที่สุด ขอความกรุณาสื่อมวลชนช่วยกระจายข่าวที่ถูกต้องด้วย
- สามหน่วยงานหลักที่รัฐบาลได้กำชับให้ทำงานอย่างสุดความสามารถในช่วงน้ำท่วม มีดังนี้ 1.ประปา 2.ไฟฟ้า 3.การรักษาความปลอดภัย (ตำรวจ)

==========
สุดท้ายนี้
ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบอย่างมีสติ
ด้วยพระบารมีของในหลวง พระราชินี และความสามัคคีของพี่น้องชาวไทยทุกคน จะทำให้เราผ่านวิกฤตครั้งนี้ได้
ขอบคุณค่ะ!!!!!

Monday, October 24, 2011

SHARING EFFECT

เด็กน้อยเห็น กอไผ่ ใคร่อยากรู้
รำพึงถาม อยากดู ในกอไผ่
พยายามมุด ส่องดู เพียงรำไร
เริ่มหาไม้ ควานลงไป ข้างในกอ

เขี่ยทางซ้าย เสียงดังก๊อก เหมือนของแข็ง
ตะโกนแสร้ง ว่าเป็นทอง แน่จริงหนอ
แยงทางขวา ไม่มีเสียง จิ้มสุดกอ
มิรั้งรอ ตะโกนบอก ไม่มีอะไร

มีพวกผอง เพื่อนชิด สนิมสนม
ตั้งตาชม คนจิ้มกอ ร่วมสงสัย
ได้ยินชัด ว่าในกอ มีอะไร
เชื่อทันใด ซ้ายมีทอง ขวาไม่มี

เพียงเสียงไม้ ความรู้สึก ของเด็กน้อย
วลีร้อย ส่งต่อ ไร้กังขา
บ้างยืนยัน ว่าเด็กน้อย เห็นกับตา
นี่แหละหนา คือฤทธิ์ ถ้อยคำคน

บ้างถ่ายรูป เด็กน้อย มุดกอไผ่
ยืนยันไป เขามุดดู เป็นสิบหน
ที่จริงแท้ เพียงอยากรู้ เหมือนเด็กซน
มหาชน เข้ารื้อไผ่ หมายเอาทอง

กอไผ่โค่น หักลง ไม่เหลือซาก
ยื้อและยุด ฉุดกระชาก ตามสนอง
เพียงพิสูจน์ ให้ทุกคน เข้ามามอง
จะมีทอง ในกอไผ่ ได้อย่างไร

กว่าจะรู้ กอไผ่ ก็สูญสิ้น
รากยังดิน คงจะฟื้น คืนไม่ไหว
เพียงเผยให้ มหาชน หายข้องใจ
กรรมกอไผ่ กรรมเด็กน้อย กรรมฝูงชน

บ่อน้ำตาตื้น

วันหนึ่ง ฉันก้มหน้าสะอื้นน้ำตาคลอ
ฉันเริ่มมองรอบๆ ตัว และมองดูผู้คนรอบกาย
ฉันรู้สึกว่า ทุกคนต่างก็มีปัญหา...
และดูเหมือนจะไม่มีใครว่างพอที่จะมาสนใจฉัน

หลายคนถามว่า "เป็นอะไรหรอ"
แต่ประโยคนั้น เหมือนเป็นเพียงแค่คำทักทาย
บทบรรยายความทุกข์ของฉันสลายไปกับสลายลม
ทุกคนต่างกำลังวุ่นวาย
ทุกคนต่างกำลังจัดการกับเรื่องของตัวเองและคนที่เขารัก

ฉันแปลกใจว่า ทำไมไม่มีคนสนใจฉัน
หรือฉันต้องร้องไห้เสียงดัง
...ไม่ได้...ฉันอายน้ำตาของฉัน

ฉันทำได้เพียงสะอื้นต่อไป
จนบางที...มันนานซะจนฉันลืมไปแล้วว่าฉันเสียใจเรื่องอะไร

ฉันพบว่า...ฉันไม่ได้อยากตอบว่าฉันเสียใจอะไร
ฉันเพียงต้องการใครสักคน
ที่ยิ้มให้ พร้อมกับยื่นเพียงทิชชู่ให้เช็ดน้ำตา

ฉันจะได้รู้ว่า...
ฉันก็มีค่า พอที่เขาจะให้ทิชชู่ฟรีๆ กับฉันสักแผ่น

Thursday, October 13, 2011

ครึ่งทางความรัก : ฉันเดินไปไม่สุดทาง

ณ สวนสนุกแห่งหนึ่ง

ชายร่างใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอปกสีน้ำเงินเข้ม กางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ กำลังนั่งอยู่บนม้าหินอ่อน พลางดูรูปในกล้องที่เพิ่งถ่ายมาไม่นานนี้

เขากำลังยิ้ม

ภาพในกล้องแทบจะไม่มีรูปตัวเอง…มันก็แน่ล่ะสิ เพราะเขาอยู่หลังกล้องตลอดนี่จะมีรูปของเขาได้ยังไง เขาเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ภาพทุกภาพในกล้องเป็นรูปของผู้หญิงผิวขาว หน้าบาน ตาโต ใบหน้าดูมีความสุข ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้น

“พี่คะ หนูมาแล้ว” ผู้หญิงตาโตในรูปคนนั้นนั่นเอง
เธอเพิ่งลงมาจากเครื่องเล่นที่มองดูเหมือนรถไฟเหาะ เธอกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าสีชมพู บอกให้รู้ว่าเลือดสูบฉีดเพียงใดกับความตื่นเต้นที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน
“ฮ่าๆๆ ดูหน้าดิ ไปต่ออีกรอบป่าว” ชายคนนั้นถาม
“พี่จะไปด้วยป่ะล่ะ?” เด็กสาวเปรยขึ้น
“ไม่ดีกว่า พี่ว่าพี่อยู่ถือกระเป๋าให้ ถ่ายรูปเราตอนหน้าเหวอๆ ตรงนี้ดีกว่า”
“อิอิ พี่ก็งี้ทุกทีอ่ะ ไปเล่นอะไรต่อดีน้าาาา” สาวน้อยพูดเสียงใส แล้วเริ่มควานหาแผนที่สวนสนุกในกระเป๋า เพื่อดูว่ามีอะไรน่าเล่นอยู่ใกล้ๆ บ้าง
“แช๊ะ!! แช๊ะ!!” เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น แต่ตาโตๆ ก็ยังคงดูแผนที่ที่ไม่ค่อยจะเข้าใจ ก็เลยไม่ได้สนใจเสียงรอบข้าง พลิกแผนที่ไปมาสองสามรอบก่อนที่คิ้วจะเริ่มขมวดกัน

เพียงแค่ไม่กี่วินาที สาวน้อยก็เริ่มเลิกคิ้ว
“ตอนนี้เราอยู่ไหนอ่ะ” สาวน้อยหันมาถามชายหนุ่มที่บัดนี้มีกล้องตัวโตปิดหน้า เพราะเขากำลังถ่ายรูปใบหน้าคนดูแผนที่ไม่ออก
“เอ้ย!! ถ่ายเค้าทำไมตอนนี้ ลบเลยๆๆ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ลบอ่ะ…ยังไง เอาแผนที่มาดูสิ๊” ชายหนุ่มสะพายกล้องแนบกับตัวแล้วเริ่มดูแผนที่
“เค้าอยากจะเล่นซุปเปอร์สแปลชอ่ะ ต้องเดินไกลป่าวเนี่ยะ”
“ก็คงไม่ไกลมั้ง นี่อ่ะตอนนี้เราอยู่ตรงนี้…ส่วนซุปเปอร์สแปลชก็… นี่!!” ชายหนุ่มบอกพลางใช้นิ้วไล่ไปบนแผนที่
“โอเค! ไปกันเถอะ อิอิ” รอยยิ้มเล็กๆ พร้อมแววตามุ่งมั่นปรากฎขึ้น…สาวน้อยเดินนำหน้ามุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย ซุปเปอร์สแปลช

“นั่นไงๆ เห็นแล้ว …โห สูงจัง” ดวงตาที่โตอยู่แล้วดูเหมือนจะโตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆ คนเยอะด้วยดิ คิวยาวหน่อยนะ” ชายหนุ่มบอก
“ไม่เป็นไร หนูรอได้ เพื่อความสนุก หนูสู้ตาย!”
“โอเวอร์ตลอดอ่ะ ผู้หญิงคนนี้” ชายหนุ่มแอบแซว “ยังไงก็ไปต่อแถวก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา มะกี้ตอนเดินผ่านมาเห็นไอติมน่ากิน เดี๋ยวซื้อมาฝาก รอแป้บนะ”
“โอเคค่าาาา” สาวตาโตตอบเสียงใส

ห้านาทีต่อมา ชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมไอศครีม
“อ่ะ! สุดสวย นี่รสวนิลาของโปรด” เขายื่นไอศครีมให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ จำได้ด้วย! อิอิ” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม “เอ้อ! อันนี้พี่มาเล่นด้วยกันมั้ย คงไม่น่ากลัวเท่าไหร่มั้ง”
“ก็สูงอยู่น้าาา กลัวอยู่ดีอ่ะ…กลัวกล้องเปียกด้วยแฮะ” เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มเสียใจที่ต้องปฏิเสธไปแบบนี้ เพราะเขากลัวความสูง เขาไม่ค่อยชอบความเร็ว หรือเครื่องเล่นที่ทำให้เขาเวียนหัว
“อ่าาา ไม่เป็นไรค่ะ…เอ้า! งั้นรับนี่ไป” สาวน้อยโยนกระเป๋าให้ “ฝากหน่อยนะคะ”
“จ้า” ชายหนุ่มรับคำแล้วเริ่มมองหาที่นั่งสักแห่ง ที่จะนั่งดูรูปที่ถ่ายมาตลอดทางที่เดินมาเครื่องเล่นนี้ กับรูปตอนที่ยืนกินไอศครีมกันพร้อมกับคุยเรื่อยเปื่อย

ประมาณยี่สิบนาทีผ่านไป สาวน้อยกลับลงมาจากเครื่องเล่น เสื้อผ้าชื้นๆ แต่ไม่ถึงกับเปียก “สนุกมากเลยยยย อิอิ…อยากไปต่ออีกสักรอบ”
“ฮ่าๆๆๆ อ่ะ! กินนี่ก่อน เล่นมาทั้งวัน เพลินจนลืมเวลา” ชายหนุ่มยื่นข้าวกล่องให้ “พี่ว่าเดี๋ยวเรากินเสร็จไปถ่ายรูปกันตรงซุปเปอร์สแปลชตอนที่น้ำกระจายๆ นั่นดีกว่า…น่าจะสวยดี อิอิ”
“อื้อๆ เอาสิๆ” สาวน้อยยิ้มรับอย่างร่าเริง

“เอ่อ…ขอโทษครับ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้มั้ย” ชายหนุ่มวานให้ผู้ชายสูงวัยคนนึงถ่ายรูปให้ “เดี๋ยวถ่ายตอนที่น้ำกระจายพอดีนะครับ ขอบคุณครับ”
“เอาล่ะน้าาา 1 2 3” เสียงชัตเตอร์ดัง ภาพถ่ายคู่ภาพแรกของวันนี้ก็ถูกถ่ายขึ้น
“เห็นหนุ่มสาวมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้แล้วมันครึกครื้นดีเนอะ…กุ๊กกิ๊กน่ารักดี”
“อิอิ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ…นี่พี่ชายหนู” สาวน้อยแก้ต่างไม่ให้ใครเข้าใจผิด
“อ่าว พี่น้องกันหรอกหรอ” ชายสูงวัยถามด้วยความสงสัย
“ฮ่าๆๆ ใช่ครับ พี่น้องกัน” ชายหนุ่มตอบ
.
.
ทั้งสองต่างไม่กล้าที่จะสบตากัน
เพราะเรา…ไม่ใช่พี่น้องกันสักหน่อย
.
.
.

HalfLove

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
เธอเป็นคนน่ารัก มีเธออยู่ด้วยฉันรู้สึกอุ่นใจ ฉันมีความสุข
เธอเป็นคนน่ารัก มีเธออยู่ด้วยฉันมีความสุข เธอทำให้ฉันยิ้มได้

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
เธอเป็นคนดี ฉันดีใจที่ได้พบเจอคนอย่างเธอ
เธอเป็นคนอ่อนหวาน ฉันดีใจที่ฉันได้อยู่ในสายตาเธอ

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
เธอเป็นคนสำคัญของฉัน ฉันรู้ว่าเธอจะดูแลฉันได้ดีที่สุด

เธอเป็นคนสำคัญของฉัน ฉันรู้ว่าฉันจะดูแลเธอได้ดีกว่าใครๆ

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
บางทีฉันก็อยากให้เธอไปอยู่ข้างกัน เวลาที่ฉันไปเล่นสนุก เราจะได้สนุกด้วยกัน
บางทีฉันก็อยากให้เธอชวนฉัน ไปนั่งเล่นกันเพลิน มองธรรมชาติด้วยกัน

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
ฉันกลัวเธอจะเบื่อฉัน …ที่ต้องนั่งรอ ในขณะที่ฉันสนุกอยู่คนเดียว
ฉันกลัวเธอจะเบื่อฉัน …ที่ฉันนั่งรอ แล้วไม่คิดจะไปสนุกด้วยกันกับเธอ

แต่ฉันอยากบอกเธอว่าฉันรักเธอนะ …เพราะฉันรู้ว่าเธอรักฉันมากที่สุด
แต่ฉันอยากบอกเธอว่าฉันรักเธอนะ …เพราะเธอคือคนที่ฉันรักมากที่สุด

Monday, October 10, 2011

น้ำท่วม

Anonymous1 : ทำไมเน็ตจิงมันกากจังอ่ะ เล่นอะไรไม่ได้เลยเนี่ยะ
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า ปกติมันก็โอเคนี่หน่า?

Anonymous2 : ทำไมผมโหลดบิทไม่ค่อยขึ้นเลยอ่ะ ผมใช้ colo แล้วนะ
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า สัญญาณเลยไม่ดี

Anonymous3 : พี่เอก...วันนี้เพื่อนนัดเค้าอ่ะ เค้าอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าไปรอเพื่อน
แต่มันไม่มา
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า เขาออกจากบ้านลำบากป่าว...ใจเย็นๆ นะ

Anonymous4 : เฮ้ออออ โลตัสคนเยอะมากอ่ะ
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า ก็คงต้องตุนอาหารกันไว้ก่อนแหละ, คนกรุงเทพฯ สู้ๆ

Anonymous5 : พี่เอกกี้...ทำไมผู้ชายเลวงี้อ่ะ มันเลิกกะหนูแล้วไปจีบแฟนเก่า คือตอนที่คบกะหนู...แฟนเก่ามันนี่แหละ ที่ทำให้เราทะเลาะกันบ่อยมาก ตอนนั้นก็บอกว่าก็แค่เพื่อนกัน เราก็เชื่อ ...ดูตอนนี้ดิ!!! มันไปจีบแฟนเก่าอ่ะ แปลว่าที่ผ่านมามันหลอกหนูมาตลอดเลยอ่ะดิ!!
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า . . . .

ตอนนี้ใครบ่นรัยมา ผมอ้างน้ำท่วมหมดอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

Sunday, October 9, 2011

สองสิ่งที่หลายคนไม่เข้าใจ

เวลาที่ผมอัพ Status ใน Facebook
เวลาที่ผมเริ่มจะ Tweet ใน Twitter
เวลาที่ผมเริ่มจะเขียน Blog
ผมพบว่ามีอยู่สองเรื่องที่จะต้องพิมพ์แล้ว พิมพ์อีก
อ่านแล้ว อ่านอีก
ลบแล้ว ลบอีก

หนึ่งคือ “ความรัก”
ความรักเป็นแค่เรื่องของคนสองคน
แต่มีคนมากมายพยายามมายุ่ง
...คนมากมายเหล่านั้น ไม่มีวันเข้าใจ

สองคือการเมือง
การเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคน
แต่คนมากมายพยายามไม่ยุ่ง
...คนมากมายเหล่านั้น ก็ไม่มีวันเข้าใจ

Saturday, October 8, 2011

นี่มันระดับชาติ! (2)

Genki : เอก เอก
Eakky : ครับ
Genki : ขอบคุณนะ
Eakky : ขอบคุณ? ขอบคุณอะไรอ่ะ?
Genki : ขอบคุณที่คนไทยส่งเงินก้อนใหญ่มาช่วยญี่ปุ่นตอนแผ่นดินไหว
Eakky : !!!!

ถึงจังหวะแบบว่างงมาก มันมาอารมณ์ไหนฟะ!!
อ้อ! คงอยากจะพูดถึงความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นล่ะมั้ง

Genki : เอกรู้มั้ยว่าคนญี่ปุ่นต้องการเป็นเพื่อนกับคนไทย
Eakky : ฮ่าๆ จริงหรอ…คนไทยก็ต้องการเป็นเพื่อนกับคนญี่ปุ่นเหมือนกัน!
Kanaji : อื้อ เงินที่คนไทยส่งมาให้ เป็นเงินที่ก้อนใหญ่มาก ขอบคุณจริงๆ
Eakky : ไม่เป็นไรครับ

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นตัวแทนประเทศไทยเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ
ระหว่างนั้น Genki ก็หันไปจับคอมแล้วเริ่มต้นค้นหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

Genki : เอกรู้จัก "ปุระนิน" มั้ย?
Eakky : หา?? อะไรนะ ปุระนิน?
Genki : เอ่อ ออกเสียงไงอ่ะ ปุระนิน?
Eakky : อ๋อ "ปลานิล"
Genki : เอกรู้มั้ยว่าปลานิลอ่ะ เจ้าชายญี่ปุ่น...
Eakky : อ้อ!! รู้ๆ ปลานิลคือปลาของญี่ปุ่น
Genki : . . .
Eakky : เป็นปลาที่เจ้าชายญี่ปุ่นอะกิฮิโตะถวายให้เจ้าพระอยู่หัวของไทย
Genki : เฮ้!!! ทำไมถึงรู้อ่ะ รู้ได้ไง?...ข่าวนี้ดังมากในไทยหรอ?
Eakky : ไม่รู้อ่ะ คิดว่าไม่ดังนะ
Genki : อ่าว...ทำไมเอกถึงรู้ล่ะ
Eakky : . . .

นั่นดิ! ถ้ามันไม่ดังทำไมผมถึงรู้อ่ะ…คนอื่นรู้กันป่าวอ่ะ?

Eakky : หรือว่าเรื่องนี้จะดัง แต่ผมว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้มั้ง
Genki : แล้วทำไมเอกถึงรู้ล่ะ?
Eakky : ตอบไงดีอ่ะ…คือว่า… ผมอ่านมาเยอะล่ะมั้ง บังเอิญว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เคยอ่านผ่านมา ก็แค่นั้นอ่ะครับ
Genki+Kanaji : SUGOI EAK

Friday, October 7, 2011

นี่มันระดับชาติ! (1)

บทสนทนาในวันนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่หลังจากซื้อข้าวกลางวันหิ้วกลับมากินในห้องวิจัย

อธิบายเพิ่มเติม
“ห้องวิจัย” ในภาษาญี่ปุ่นคือคำว่า 研究室 kenkyuushitsu หรือออกเสียงเป็นไทยประมาณว่า “เคง-คีว-ชิทซึ” ในความเข้าใจก็คือ “common room” ของแลปนั่นแหละครับ ก็คือห้องที่นั่งวิเคราะห์ผล สรุปผล แต่ไม่ใช่ห้องทำแลป จึงทานอาหารในห้องนี้ได้

บทสนทนาทั้งหมดแปลเป็นไทยโดยผมเอง ซึ่งขอรับรองว่า คำสื่ออารมณ์แปลตรงตามธรรมชาติของภาษา และธรรมชาติของนิสัย ของคนญี่ปุ่นแน่นอนครับ

Genki : เอก เอก, วันนี้เราจะไปเอารูปจากคุณลุคแมน เอามาใส่ในกรอบรูปดิจิตอล
Eakky : อื้อ! เยี่ยม เราจะได้มีรูปเก่าๆ ด้วย
Genki : อือ ดีเนอะ
Eakky : อืม…เอ้อ รู้มั้ย เมื่อเดือนที่แล้วผมมีความสุขมากอ่ะ
Genki : ทำไมอ่ะ? ทำไม?
Eakky : เดือนที่แล้วนักเรียนจีนกลับจีนไปเยอะ บางคนก็ย้ายออกไปจากหอแล้ว ก็เลยเหลือแค่ผมกับคนจีนอีกแค่คนเดียว ห้องครัวกับห้องน้ำที่หอก็เลยสะอาดมาก สุดยอดเลยแหละ ผมชอบมากอ่ะ ฮ่าๆๆ
Genki : (หัวเราะ)
Eakky : แต่เมื่อวานนี้ คนจีนย้ายกลับเข้ามาเยอะแล้วอ่ะ เขาคุยกันเสียงดังมาก น่ารำคาญสุดๆ ตอนกลางคืนด้วยนะ
Genki : แล้วเอกหลับได้มั้ยอ่ะนั่น
Eakky : ได้แหละ แต่ดึกมากอ่ะ ประมาณตีหนึ่ง …มั้ง
Genki : ลำบากเนอะ
Eakky : อื้อ แย่มากเลยอ่ะ

ถึงตรงนี้เราก็เดินกันมาถึงห้องวิจัยแล้ว Genki หันไปเล่าให้ Kanaji ซึ่งเป็นรุ่นน้องอีกคนในแลปฟังว่าผมเล่าอะไรให้ฟังบ้าง Kanaji ก็วิจารณ์ต่อว่า ก็จริงนะ คนจีนจะชอบส่งเสียงดังอ่ะ แย่หน่อยนะ

Kanaji : ระหว่างจีน กับเกาหลี เอกชอบทางไหนมากกว่า
Eakky : เอ่อ…ยังไงอ่ะ ผมหมายถึงว่าในเรื่องอะไรอ่ะ?
Kanaji : ทั่วๆ ไปก็ได้
Eakky : ชอบเกาหลีมากกว่านะ แต่ที่หอก็ไม่มีคนเกาหลีอ่ะ ผมก็ไม่รู้แฮะ
Kanaji : เอกรู้ข่าวฟุตบอลสโมสรของญี่ปุ่นแข่งกับเกาหลีมั้ย?
Eakky : เอ๋? ไม่รู้อ่ะ มีเรื่องอะไรหรอ?
Genki : ก็ตอนที่เชียร์อ่ะ กองเชียร์ของเกาหลีมีคนทำธงที่เขียนว่า “ขอให้ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหว” (Genki พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น)
Eakky : เฮ้ย! จริงอ่ะ เขียนเป็นภาษาอะไร?
Kanaji : ญี่ปุ่นครับ ถ้าเป็นอังกฤษก็คือ “We pray for earthquake in Japan.”
Eakky : ยังไงอ่ะ เขาจงใจจะสื่อว่า “We pray for Japan about earthquake crisis” หรือเปล่า?
Kanaji : โน โน โน… มันเป็นคำที่ชัดเจนมาก เขาเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นเลย มันเหมือนว่าเขายินดีที่เราเจอกับแผ่นดินไหว (Kanaji ใช้คำว่า ‘glad’)
Eakky : ยินดีหรอ?
Kanaji : (พูดด้วยสีหน้าโกรธแค้น) ใช่ พวกเขารู้สึกยินดี
Eakky : . . .

International1

เรื่องความสัมพันธ์เกาหลีกับญี่ปุ่นก็จบลงไปแบบผมไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะธงมันต้องการสื่ออะไรจริงๆ อันนี้ผมก็ไม่เคยเห็น แต่ก็เป็นอันเข้าใจว่าคนญี่ปุ่นอ่านแล้วเข้าใจว่า “พวกเราภาวนาให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในญี่ปุ่น” ซึ่งมันก็ได้ทำให้คนญี่ปุ่นไม่พอใจมาก… หรือเรื่องนี้อาจเป็นแค่การเข้าใจผิดกันแน่

บทสนทนานี้ยังไม่จบ แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องที่คุยในวันนี้มันวาไรตี้มาก เลยอย่างให้หนึ่งเรื่องที่เขียนมีเนื้อหาไปในทางเดียวกันครับ ก็เลยขอแยกตัดตอนไว้แค่นี้ก่อน

(โปรดอ่านต่อตอนถัดไป)