ในวันนี้ตอนเย็นๆ ที่ผ่านมาประมาณ 5 โมงเย็น บนรถเมล์สาย 36 มีคนเบียดเสียดมาก ผมขึ้นไปแล้วได้ยืนตรงบันไดพอดี
เมื่อรถเมล์วิ่งไปประมาณ 20เมตร ก็ติดไฟแดง ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนนึงลุกขึ้นจากที่นั่ง แทรกตัวเบียดออกมาที่ประตู จนถึงจุดที่ผมขวางอยู่ แล้วพูดกับผมอย่างไพเราะว่า "ขอโทษค่ะ ขอทางด้วย" ผมเงยหน้าขึ้นแล้วพยายามจะหาทางหลบให้
ในใจผมจึงเริ่มมีคำถามขึ้นมาคือ
๑. ป้ายหน้ามันเลยไฟแดงนี้ไปอีกตั้งแยกนึงนะ คุณพี่จะรีบลุกมายืนเบียดทำไม?
๒. จะหลบไปไหนทางไหนได้วะเนี่ยะ?
ผมเห็นว่าเก้าอี้ที่ผู้หญิงคนนี้ลุกขึ้นมา ตอนนี้ก็ยังว่างเปล่า ถ้ามีใครสักคนนั่งลงไป แล้วทุกคนขยับเข้าไปคนละหนึ่งสเตป ผมก็คงได้ขึ้นมายืนข้างบนตัวรถแล้วให้เจ๊แกไปยืนที่บันไดแทน ผมจึงบอกกับน้องนิสิตหญิงที่อยู่ใกล้ๆ ว่า “น้องครับ ทางนู้นว่าง ถอยไปนั่งมั้ยครับ” น้องคนนั้นหันมาแล้วตอบกับผมแบบห้วนๆ ว่า “ลง!” ผมจึงพยักหน้าประกอบกับเจ๊ผู้หญิงคนที่ขอทางแกก็ขยับลงมาที่บันไดแล้ว ผมก็เลยแทรกตัวปีนขึ้นมาอยู่บนตัวรถแทนที่เจ๊แกเป็นอันสำเร็จ
จากนั้นรถเมล์เริ่มขยับเคลื่อนตัวผ่านแยกไฟแดงนี้ไป เจ๊ผู้หญิงที่บัดนี้ลงไปอยู่ตรงบันไดแล้ว ไม่สามารถที่จะกดกริ่งลงได้ จึงพูดกับผมว่า “ช่วยกดกริ่งให้หน่อยค่ะ” ผมก็เลยกดให้แบบงงๆ พร้อมกับคำถามที่สามผุดขึ้น
๓. ป้ายหน้ามันอีกตั้งไฟแดงนึงนะ ให้มันพ้นไฟแดงหน้าก่อนดีหรือเปล่า?
พอสิ้นเสียงกริ่ง กระเป๋ารถเมล์ที่ตัวลีบไหลไปเก็บเงินอยู่หน้ารถแล้วก็ตะโกนว่า “ใครกดกริ่งคะ ไม่จอดนอกป้ายนะคุณ” พร้อมกับที่ผู้โดยสารประมาณ 6-7 คนหันมามองหน้าผมด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าในอารมณ์ที่เหมือนกับต้องการจะพูดว่า “ใครกดวะ (เพื่อนกูป่าว)”
“คือ…กูรู้ กูก็สงสัยเหมือนเมิงแหละว่าจะรีบกดทำไม แต่กูกด ก็ไม่ใช่ว่ากูจะลงไง”
ผมก็ได้แต่ยืนยอมรับสภาพไปว่าผมนี่แหละเป็นคนที่กดกริ่งเมื่อครู่นี้
รถเมล์ยังคงวิ่งต่อไปในสภาพรถที่อึดอัด และสำหรับตัวผมแล้วบรรยากาศในรถตอนนี้ก็อึดอัดไม่แพ้กับสภาพรถเลย จากนั้นเมื่อรถเลี้ยวโค้งผ่านแยกไฟแดงที่สอง ป้ายหน้าอยู่ห่างไปอีกเพียง 20 เมตร กลุ่มคนกลุ่มนึงหน้ารถที่หันมามองผมตอนที่ผมกดกริ่ง ก็เริ่มขยับตัวแทรกกลุ่มคนที่ยังไม่ได้จะลงป้ายนี้เข้ามาใกล้ผม จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ผู้ชายคนนึงที่เดินนำหน้ามาพูดขึ้นว่า “ขอทางหน่อยครับ ผมลงป้ายนี้”
“อ้าว เฮ้ย เมื่อกี้มึงยังมองหน้ากูอยู่เลยว่ากูรีบกด
มึงก็น่าจะคิดว่ากูลงป้ายนี้ดิวะ มึงจะมาขอทางทำไม
เชรด~ มึงรู้ว่ากูไม่ได้จะลง แล้วสายตามึงที่มองกูก่อนหน้านี้มันคืออะไร?”
ผมก็เลยมองซ้ายมองขวา คำถามที่ ๒ ก็ดังขึ้นในหัวผมอีกครั้ง ผมหันกลับไปข้างหลัง ณ ที่นั่งที่เจ๊คนแรกลุกออกมา ที่นั่งนั้นก็ยังว่างอยู่ รายล้อมไปด้วยพ่อหนุ่มสุภาพบุรุษ 5 คนที่พร้อมใจกันยืนแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเต็มที่ เสี้ยววินาทีที่ผมเอียงตัวถอยหลัง เพื่อให้พื้นที่กับกลุ่มคนที่ขอทางข้างหน้า ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากข้างหลังว่า “ขอทางหน่อยค่ะ”
“คือ…รถยังไม่จอดเรยยยย พวกเมิงจะรีบมาออกันหน้าประตูทำไมวะครับ”
ผมอยากจะหลบให้พวกคุณ แบบฉากหลบเลเซอร์นาทีที่ 1.40 นี่เลยจริง