Monday, February 20, 2012

ยังแก่ไม่ได้

พี่เอกกี้: น้องบี (นามสมมติ) อยู่ปีรัยแล้วอ่ะ? จะจบยังนะ?
น้องบี : ยัง…อยู่ปีสอง
พี่เอกกี้: อ่าว ไม่ใช่ปีสามหรอ งงรุ่นแล้ว
น้องบี : ย้ายมาจากมหาสารคามอ่ะ
พี่เอกกี้: อ่อ ก็ว่าทำไมช้าไปปีนึง นึกว่าพี่แก่แล้วหลงๆ ลืมๆ ซะอีก
น้องบี : เหอๆ
พี่เอกกี้: ยังไม่แก่เนอะ
น้องบี : สงสัยพี่เอกกี้จะแก่แล้วจริงๆ
พี่เอกกี้: เอ้ย…ยังดิ ยังแก่ไม่ได้ รอน้องเป็ดน้อย (นามสมมติ) อยู่
น้องบี : จร้า สวดยอด
พี่เอกกี้: ฮ่าๆๆ
น้องบี : แล้วน้องเขาว่าไงอ่ะ?
พี่เอกกี้: ว่าไงล่ะ? ก็ปีแรกบอกว่า “นั่นแหละๆ ทำใจเหอะ”
น้องบี : . . .
พี่เอกกี้: ปีที่ต่อมาบอกว่า “คนไม่ใช่ ยังไงมันก็ไม่ใช่อ่ะ”
น้องบี : . . .
พี่เอกกี้: ปีที่แล้วบอกว่า “ก็รักแบบพี่ชาย จะให้เค้าทำยังไงอ่าาาา”
น้องบี: . . .
พี่เอกกี้: เดี๋ยวปีนี้ก็ว่าจะถามใหม่ ฮ่าๆๆๆ
น้องบี : . . .
พี่เอกกี้ : จะให้จนเธอกว่าเธอจะรัก บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม…

น้องบี : 55555555555555555555
พี่เอกกี้: แต่คนไม่ได้อยู่ด้วยกันอ่ะนะ ก็คงยาก
น้องบี : . . .
พี่เอกกี้: แต่ไม่เป็นไรหรอก ก็เค้ารักของเค้าอ่ะ  (>///<
น้องบี : อิอิ

(ควันหลงวาเลนไทน์นิดๆ คัดลอกมาจากบทสนทนาจริงๆ บนเฟสบุค)

Tuesday, February 7, 2012

4 คำศักดิ์สิทธิ์

เชย, เยี่ยม, ยาก, ยอม

     หลายคนคงเคยได้ยินผมใช้ 4 คำนี้บ่อยๆ เรียกว่าเป็นคำติดปากผมเลยก็ได้ สำหรับคนอื่นที่ยังไม่รู้จักกันดี อาจจะคิดว่า “มันคิดอะไรของมันวะ” หรือ “หมายความว่าไงวะ” หรือ “ยังไงของมันวะ” แน่ๆ ถึงอย่างไรผมก็มีความเชื่อว่า คนที่รู้จักผมจริงๆ น่าจะเข้าใจกันดี

ผมมีนิสัยอยู่อย่างนึงที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย นั่นคือ ผมติดการอธิบายอย่างละเอียดละออ

     ครั้งหนึ่งมีน้องคนหนึ่งถามผมว่า “จะหาซื้อแฮนดี้ไดรฟ์อันใหม่ ควรเลือกความจุสักเท่าไหร่ดี” ผมกลับตอบแบบวิเคราะห์รายละเอียด ตั้งแต่ขนาดที่มีขาย, ช่องว่างของราคาในแต่ละช่วงความจุ, ความจุที่ผมแนะนำ, เหตุผลที่แนะนำความจุนั้น รวมไปถึงการยกตัวอย่างขณะใช้งานจริงๆ ปัญหาที่เคยเจอมากับตัว แล้วยังลากยาวไปถึงอธิบายลักษณะการเก็บข้อมุลของคอมพิวเตอร์ ที่เป็น FAT32และNTFS แถมด้วยข้อมูลการเก็บรักษาแฮนดี้ไดรฟ์ …ใช้เวลาอธิบายหลายนาที ทั้งๆ ที่สามารถตอบแค่ความจุที่แนะนำไปเท่านั้นจบ
     และอีกหลายต่อหลายครั้ง ที่เป็นแบบนี้… จนเคยมีคนพูดว่า

“แกจริงจังไปป่าว”
“หยุดวิชาการสักห้านาทีได้ป่ะ?”
“ขอย่อๆ ได้ป่ะ?”

     มีน้องคนนึงให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาว่า

     “พี่ก็ไม่ต้องให้เขารู้ทุกอย่างก็ได้ พี่ชอบสอนให้เขาคิดเอง ตัดสินใจเอง …แต่ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบพี่ ที่ต้องรู้ลึกถึงเหตุผลที่มา ลากยาวไปถึงต้นกำเนิดขนาดนั้น …คนส่วนใหญ่เขาต้องการรู้แค่คำตอบ คำแนะนำ จากพี่… หลายอย่างเขาไม่จำเป็นต้องรู้ไง แต่พี่ก็ชอบอธิบาย”

     ผมถึงได้ตระหนักว่า ก็คงเป็นจริงอย่างนั้น… การอธิบายสิ่งที่คนอื่นรู้สึกว่าไม่จำเป็น มันคงเป็นเรื่องน่าเบื่อมากเลย ผมจึงเริ่มที่จะพูดให้น้อยลง แสดงความเห็นแบบตรงๆ ไม่ใส่รายละเอียด ทำให้เกิด 4 คำติดปาก ที่ผมขอเรียกมันว่า 4 คำศักดิ์สิทธิ์ ของผม

     ทั้งสี่คำนั้น ผมใช้เพื่อหลีกเลี่ยงตัวเองจากการอธิบายอะไรที่มันยืดยาวเกินความจำเป็น เพราะทุกครั้งที่ผมเริ่มอธิบาย ผมมักจะเริ่มจากข้อยกเว้นเสมอ ทำให้พอเริ่มอธิบาย คนฟังจะตั้งคำถามขึ้นในทันที การอธิบายจึงต้องดำเนินต่อไป ต่อไป และต่อไป…
ถ้าโชคดี…คนฟังมีสมาธิอยู่ฟังจนจบ เราจะเข้าใจกันและเข้าใจว่าผมคิดละเอียดมากเพียงใด
ถ้าโชคร้าย…คนฟังไม่ว่าง หรือเบื่อเกินไป เราจะถูกตีตราว่าเป็นพวกคิดขวางโลก

…มันก็แล้วแต่คนจะมอง…

ผมได้เรียนรู้
ที่จะไม่พูดให้ละเอียดเกินไป
จนมากเกินความจำเป็นของคนฟัง

ผมได้เรียนรู้
ที่จะปล่อยให้คนอื่นได้คิดอย่างที่เขาต้องการ
ไม่อธิบายส่วนต่างที่เขายังไม่รู้ ยังไม่เห็น
เพราะคนส่วนใหญ่มักจะต่อต้านสิ่งที่คัดค้านความเชื่อเดิม
…คนเคยเข้าใจ มาทำให้งงทำไมวะ…

ผมได้เรียนรู้ที่จะ
พูด “เชย” แทนการพูดขวางโลก หรือขัดแย้งจนคนอื่นต่อต้าน
เพราะผมมักอธิบายข้อยกเว้นที่มันก็มีในทุกๆ สิ่ง ว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นมันไม่ได้ถูกต้องทุกกรณี
พูด “เยี่ยม” แทนการอธิบายว่าคุณดีอย่างไร ถูกอย่างไร
และยังเป็นการเบรกแสดงมุมมองที่แตกต่าง ว่าสิ่งที่เห็นว่าดี มันย่อมมีผลกระทบด้านร้ายด้วยเช่นกัน
พูด “ยาก” แทนการต้องอธิบายรายละเอียดทุกขั้นตอน
เพราะทุกสิ่งมันเป็นไปได้สำหรับผม สิ่งที่ทำไม่ได้จึงไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำยากต่างหาก

และ

พูด “ยอม”
แทนความรู้สึกทั้งหมดของผม
ว่าผมไม่เคยคิดต่อต้าน ดูถูก หรือเชิดชูตัวเองเหนือใคร

ด้วยความเชื่อสูงสุดในชีวิตผมคือ

“ทุกคนเป็นผู้หวังดี คิดดี ตั้งใจดี และเป็นคนดี”