Friday, October 28, 2011

กระแส…พระราชดำรัส

พักหลังๆ ผมเห็นการเขียนพระราชดำรัสมากมาย
บ้างอ้างว่าเป็นคำรำพึง บ้างอ้างว่าคำกล่าวแต่คนสนิท
มิได้เป็นทางการ หรือมีมูลเท็จจริงประการใด

แต่คนก็ส่งต่อกัน ด้วยซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
. . . . . . . . . .

     ทุกวันนี้ข้อความต่างๆ เหล่านี้ถูกส่งต่อกันผ่านสังคมออนไลน์มากมาย ล้วนแล้วแต่กินใจ และซาบซึ้งใจยิ่ง หากแต่ว่าจะมีใครได้ขบคิด ว่าหากข้อความเหล่านั้นไม่ได้เป็นพระราชดำรัส ท่านที่ส่งต่อข้อความทั้งหลายจะรู้สึกเช่นไร

บ้างว่า… ไม่เป็นไรนี่ เพราะเป็นเรื่องดีๆ ไม่ได้เสียหายสักหน่อย
บ้างว่า… ถึงแม้จะไม่ใช่พระราชดำรัส แต่ก็น่าจะเป็นพระราชดำริของพระองค์
บ้างว่า… ก็แค่อยากเปรียบเทียบกับไอ้พวกนักการเมืองเหียกๆ ที่ตนไม่ชอบ

     ไม่ว่าท่านจะคิดเห็นเช่นใด ผมว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการดึงพระองค์ท่านลงมาเปรียบเทียบกับคนที่ท่านไม่ชอบนั่นแหละ ยิ่งท่านเขียนเปรียบเทียบมากเช่นไร เท่ากับว่าท่านกำลังดึงพระองค์ท่านลงมามากเท่านั้น …ล่าสุดพระบรมมหาราชวังถึงขั้นออกหนังสือชี้แจงถึงข้อความที่ส่งต่อกันในสังคมออนไลน์ ว่าไม่มีใครรู้เรื่อง หรือรับรองว่าเป็นเรื่องจริงกันเลยทีเดียว

     ดังนั้น ผมเองก็อยากให้ทุกคนขบคิดเล่นๆ ฉุกคิดสักนิด การส่งต่อความประทับใจเหล่านั้น มันเป็นผลดี จริงหรือไม่?

เรื่องนี้เอาจริงๆ ผมว่าก็พูดยาก แต่ผมขอให้คิดกันให้มากก็แล้วกันครับ

ยิ่งในยามที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากทุกคนได้ย้อนอ่านและรับรู้ว่าการเมืองไทยที่ผ่านมานั้น ก้าวไปเช่นไรบ้าง ท่านอาจจะคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์ถัดไปต่อจากนี้ จะเป็นเช่นไร เพราะ…

“ประวัติศาสตร์มันมักจะซ้ำรอยเสมอ”

สุดท้ายนี้…
ผมขอฝากพระราชดำรัสตอนหนึ่งไว้ให้ขบคิด

“…ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน แก้ปัญหา เพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฎิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่า จะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง…”

พระราชดำรัสสมัย พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
เมื่อครั้งที่
พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2535 เวลา 21.30 น.

Wednesday, October 26, 2011

แถลงการณ์นายกรัฐมนตรี

เอกกี้ฟังแล้วเพลีย ใช้ภาษาทางการที่วกวนสับสน จับใจความลำบาก!!!
…โดยรวมแล้ว เนื้อหาครบถ้วนดี แต่การสื่อสารไม่ดี…
ก็เลยนั่งฟังแล้วถอดความมาให้อ่านกัน!!!!

===เกริ่น===
1. น้ำจะผ่านกรุงเทพฯ เพื่อลงสู่ทะเล และรัฐบาลกำลังวางแผนจะให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
2. คาดว่าแรงดันน้ำจะมากเกินกว่าที่พนังกั้นน้ำจะรับไหว น้ำอาจจะทะลักเข้ามาได้ทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯ ใครใกล้สุดก็ซวยที่สุด ใครไกลออกไปก็ได้รับผลกระทบลดหลั่นกันไปไม่เท่ากัน
3. รัฐบาล, กทม., กระทรวงกลาโหม และทหารบก จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ และเอกชน ก็จะต้องช่วยกันป้องกันด้วย

===สถานการณ์===
4. ทางตะวันตกของกรุงเทพฯ รัฐบาลจะป้องกันบริเวณคลองมหาสวัสดิ์ โดยจะปลอดน้ำไหลลงแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำทั้งสองมีคันกันอยู่ซึ่งรัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อจะรักษาคันกันแม่น้ำนั้นให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามให้กลับไปอ่านข้อ 2 อีกที โดยน้ำจะท่วมสูงประมาณครึ่งเมตร
5. ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ รัฐบาลจะปิดประตูน้ำปากคลองเปรมประชากร เพื่อลดแรงดันน้ำ ใครที่อยู่แถบดอนเมือง วิภาวดี ก็ต้องทนกันหน่อย เพราะรัฐบาลจะป้องกันกรุงเทพชั้นใน แต่รัฐบาลจะช่วยระบายน้ำนั้นโดยเร็วที่สุดด้วยการระบายน้ำจากคลองรังสิต ไปลงคลองหกวาสายล่าง ทั้งนี้รัฐบาลจะพยายามควบคุมระดับน้ำไม่ให้เกินครึ่งเมตร (เหมือนกับทางตะวันตก)
6. ทางตะวันออกของกรุงเทพฯ แถวๆ มีนบุรี หนองจอก ลาดพร้าว ...รัฐบาลได้ขุดคลองมากมายเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นขอให้วางใจได้ว่าน้ำจะระบายได้เร็ว แต่ว่า!!!! ส่วนนี้น้ำจะท่วมสูงกว่าที่อื่น โดยน้ำจะท่วมสูงประมาณเมตรเศษ
7. ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือ แนวกั้นน้ำพัง หรือน้ำทะเลหนุน จะทำให้กรุงเทพฯ ท่วม โดยระดับน้ำที่ท่วมจะมีตั้งแต่ 10เซน ถึงเมตรครึ่ง แล้วแต่ละพื้นที่... แต่รัฐบาลจะให้น้ำท่วมน้อยที่สุด และทำให้น้ำลดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้เครื่องสูบน้ำทั้งหมดที่มีอยู่ เรือผลักดันน้ำ

===เตือนประชาชน และหน่วยงานรัฐ===
8. เพื่อความไม่ประมาท ขอให้ทุกคนเก็บของขึ้นที่สูง
9. รัฐบาลได้กำชับทุกหน่วยงานให้ดูแลสถานที่สำคัญ คือ วัง โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า โรงประปา อย่างดีที่สุด
10. ดังที่กล่าวไปแล้วในข้อ 5 ว่าดอนเมืองน้ำจะท่วม... เย็นนี้ จะย้ายคนที่อยู่ที่ศูนย์อพยพดอนเมือง ไปอยู่ศูนย์อพยพอื่นหรือไปต่างจังหวัด และจะย้ายของบริจาคที่อยู่ศูนย์ดอนเมือง มาเก็บที่สนามศุภฯ แทน ดังนั้นใครมีใจอาสา ก็สามารถไปช่วยกันได้ที่สนามศุภฯ นะจ๊ะ นะจ๊ะ

==========
นอกจากเรื่องน้ำแล้ว
- ประกาศวันที่ 21-31 ตุลาคม เป็นวันหยุดราชการพิเศษ
- สำหรับสถานที่ราชการ จะหยุดตั้งแต่วันที่ 27-31 ตุลาคม ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับน้ำ รัฐบาลขอความกรุณาให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนด้วย
- สถานที่ราชการในต่างจังหวัด ก็พร้อมที่จะรับเป็นที่พักชั่วคราวได้ โดยรัฐบาลให้กระทรวงคมนาคมและกระทวงมหาดไท เป็นฝ่ายรับผิดชอบแล้ว
- เครื่องอุปโภค บริโภค การสาธารณสุข แพทย์ฉุกเฉิน และการให้ข่าวสารที่ถูกต้องรวดเร็ว รัฐบาลจะทำทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ให้ดีที่สุด ขอความกรุณาสื่อมวลชนช่วยกระจายข่าวที่ถูกต้องด้วย
- สามหน่วยงานหลักที่รัฐบาลได้กำชับให้ทำงานอย่างสุดความสามารถในช่วงน้ำท่วม มีดังนี้ 1.ประปา 2.ไฟฟ้า 3.การรักษาความปลอดภัย (ตำรวจ)

==========
สุดท้ายนี้
ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบอย่างมีสติ
ด้วยพระบารมีของในหลวง พระราชินี และความสามัคคีของพี่น้องชาวไทยทุกคน จะทำให้เราผ่านวิกฤตครั้งนี้ได้
ขอบคุณค่ะ!!!!!

Monday, October 24, 2011

SHARING EFFECT

เด็กน้อยเห็น กอไผ่ ใคร่อยากรู้
รำพึงถาม อยากดู ในกอไผ่
พยายามมุด ส่องดู เพียงรำไร
เริ่มหาไม้ ควานลงไป ข้างในกอ

เขี่ยทางซ้าย เสียงดังก๊อก เหมือนของแข็ง
ตะโกนแสร้ง ว่าเป็นทอง แน่จริงหนอ
แยงทางขวา ไม่มีเสียง จิ้มสุดกอ
มิรั้งรอ ตะโกนบอก ไม่มีอะไร

มีพวกผอง เพื่อนชิด สนิมสนม
ตั้งตาชม คนจิ้มกอ ร่วมสงสัย
ได้ยินชัด ว่าในกอ มีอะไร
เชื่อทันใด ซ้ายมีทอง ขวาไม่มี

เพียงเสียงไม้ ความรู้สึก ของเด็กน้อย
วลีร้อย ส่งต่อ ไร้กังขา
บ้างยืนยัน ว่าเด็กน้อย เห็นกับตา
นี่แหละหนา คือฤทธิ์ ถ้อยคำคน

บ้างถ่ายรูป เด็กน้อย มุดกอไผ่
ยืนยันไป เขามุดดู เป็นสิบหน
ที่จริงแท้ เพียงอยากรู้ เหมือนเด็กซน
มหาชน เข้ารื้อไผ่ หมายเอาทอง

กอไผ่โค่น หักลง ไม่เหลือซาก
ยื้อและยุด ฉุดกระชาก ตามสนอง
เพียงพิสูจน์ ให้ทุกคน เข้ามามอง
จะมีทอง ในกอไผ่ ได้อย่างไร

กว่าจะรู้ กอไผ่ ก็สูญสิ้น
รากยังดิน คงจะฟื้น คืนไม่ไหว
เพียงเผยให้ มหาชน หายข้องใจ
กรรมกอไผ่ กรรมเด็กน้อย กรรมฝูงชน

บ่อน้ำตาตื้น

วันหนึ่ง ฉันก้มหน้าสะอื้นน้ำตาคลอ
ฉันเริ่มมองรอบๆ ตัว และมองดูผู้คนรอบกาย
ฉันรู้สึกว่า ทุกคนต่างก็มีปัญหา...
และดูเหมือนจะไม่มีใครว่างพอที่จะมาสนใจฉัน

หลายคนถามว่า "เป็นอะไรหรอ"
แต่ประโยคนั้น เหมือนเป็นเพียงแค่คำทักทาย
บทบรรยายความทุกข์ของฉันสลายไปกับสลายลม
ทุกคนต่างกำลังวุ่นวาย
ทุกคนต่างกำลังจัดการกับเรื่องของตัวเองและคนที่เขารัก

ฉันแปลกใจว่า ทำไมไม่มีคนสนใจฉัน
หรือฉันต้องร้องไห้เสียงดัง
...ไม่ได้...ฉันอายน้ำตาของฉัน

ฉันทำได้เพียงสะอื้นต่อไป
จนบางที...มันนานซะจนฉันลืมไปแล้วว่าฉันเสียใจเรื่องอะไร

ฉันพบว่า...ฉันไม่ได้อยากตอบว่าฉันเสียใจอะไร
ฉันเพียงต้องการใครสักคน
ที่ยิ้มให้ พร้อมกับยื่นเพียงทิชชู่ให้เช็ดน้ำตา

ฉันจะได้รู้ว่า...
ฉันก็มีค่า พอที่เขาจะให้ทิชชู่ฟรีๆ กับฉันสักแผ่น

Thursday, October 13, 2011

ครึ่งทางความรัก : ฉันเดินไปไม่สุดทาง

ณ สวนสนุกแห่งหนึ่ง

ชายร่างใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอปกสีน้ำเงินเข้ม กางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ กำลังนั่งอยู่บนม้าหินอ่อน พลางดูรูปในกล้องที่เพิ่งถ่ายมาไม่นานนี้

เขากำลังยิ้ม

ภาพในกล้องแทบจะไม่มีรูปตัวเอง…มันก็แน่ล่ะสิ เพราะเขาอยู่หลังกล้องตลอดนี่จะมีรูปของเขาได้ยังไง เขาเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ภาพทุกภาพในกล้องเป็นรูปของผู้หญิงผิวขาว หน้าบาน ตาโต ใบหน้าดูมีความสุข ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้น

“พี่คะ หนูมาแล้ว” ผู้หญิงตาโตในรูปคนนั้นนั่นเอง
เธอเพิ่งลงมาจากเครื่องเล่นที่มองดูเหมือนรถไฟเหาะ เธอกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าสีชมพู บอกให้รู้ว่าเลือดสูบฉีดเพียงใดกับความตื่นเต้นที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน
“ฮ่าๆๆ ดูหน้าดิ ไปต่ออีกรอบป่าว” ชายคนนั้นถาม
“พี่จะไปด้วยป่ะล่ะ?” เด็กสาวเปรยขึ้น
“ไม่ดีกว่า พี่ว่าพี่อยู่ถือกระเป๋าให้ ถ่ายรูปเราตอนหน้าเหวอๆ ตรงนี้ดีกว่า”
“อิอิ พี่ก็งี้ทุกทีอ่ะ ไปเล่นอะไรต่อดีน้าาาา” สาวน้อยพูดเสียงใส แล้วเริ่มควานหาแผนที่สวนสนุกในกระเป๋า เพื่อดูว่ามีอะไรน่าเล่นอยู่ใกล้ๆ บ้าง
“แช๊ะ!! แช๊ะ!!” เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น แต่ตาโตๆ ก็ยังคงดูแผนที่ที่ไม่ค่อยจะเข้าใจ ก็เลยไม่ได้สนใจเสียงรอบข้าง พลิกแผนที่ไปมาสองสามรอบก่อนที่คิ้วจะเริ่มขมวดกัน

เพียงแค่ไม่กี่วินาที สาวน้อยก็เริ่มเลิกคิ้ว
“ตอนนี้เราอยู่ไหนอ่ะ” สาวน้อยหันมาถามชายหนุ่มที่บัดนี้มีกล้องตัวโตปิดหน้า เพราะเขากำลังถ่ายรูปใบหน้าคนดูแผนที่ไม่ออก
“เอ้ย!! ถ่ายเค้าทำไมตอนนี้ ลบเลยๆๆ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ลบอ่ะ…ยังไง เอาแผนที่มาดูสิ๊” ชายหนุ่มสะพายกล้องแนบกับตัวแล้วเริ่มดูแผนที่
“เค้าอยากจะเล่นซุปเปอร์สแปลชอ่ะ ต้องเดินไกลป่าวเนี่ยะ”
“ก็คงไม่ไกลมั้ง นี่อ่ะตอนนี้เราอยู่ตรงนี้…ส่วนซุปเปอร์สแปลชก็… นี่!!” ชายหนุ่มบอกพลางใช้นิ้วไล่ไปบนแผนที่
“โอเค! ไปกันเถอะ อิอิ” รอยยิ้มเล็กๆ พร้อมแววตามุ่งมั่นปรากฎขึ้น…สาวน้อยเดินนำหน้ามุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย ซุปเปอร์สแปลช

“นั่นไงๆ เห็นแล้ว …โห สูงจัง” ดวงตาที่โตอยู่แล้วดูเหมือนจะโตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆ คนเยอะด้วยดิ คิวยาวหน่อยนะ” ชายหนุ่มบอก
“ไม่เป็นไร หนูรอได้ เพื่อความสนุก หนูสู้ตาย!”
“โอเวอร์ตลอดอ่ะ ผู้หญิงคนนี้” ชายหนุ่มแอบแซว “ยังไงก็ไปต่อแถวก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา มะกี้ตอนเดินผ่านมาเห็นไอติมน่ากิน เดี๋ยวซื้อมาฝาก รอแป้บนะ”
“โอเคค่าาาา” สาวตาโตตอบเสียงใส

ห้านาทีต่อมา ชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมไอศครีม
“อ่ะ! สุดสวย นี่รสวนิลาของโปรด” เขายื่นไอศครีมให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ จำได้ด้วย! อิอิ” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม “เอ้อ! อันนี้พี่มาเล่นด้วยกันมั้ย คงไม่น่ากลัวเท่าไหร่มั้ง”
“ก็สูงอยู่น้าาา กลัวอยู่ดีอ่ะ…กลัวกล้องเปียกด้วยแฮะ” เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มเสียใจที่ต้องปฏิเสธไปแบบนี้ เพราะเขากลัวความสูง เขาไม่ค่อยชอบความเร็ว หรือเครื่องเล่นที่ทำให้เขาเวียนหัว
“อ่าาา ไม่เป็นไรค่ะ…เอ้า! งั้นรับนี่ไป” สาวน้อยโยนกระเป๋าให้ “ฝากหน่อยนะคะ”
“จ้า” ชายหนุ่มรับคำแล้วเริ่มมองหาที่นั่งสักแห่ง ที่จะนั่งดูรูปที่ถ่ายมาตลอดทางที่เดินมาเครื่องเล่นนี้ กับรูปตอนที่ยืนกินไอศครีมกันพร้อมกับคุยเรื่อยเปื่อย

ประมาณยี่สิบนาทีผ่านไป สาวน้อยกลับลงมาจากเครื่องเล่น เสื้อผ้าชื้นๆ แต่ไม่ถึงกับเปียก “สนุกมากเลยยยย อิอิ…อยากไปต่ออีกสักรอบ”
“ฮ่าๆๆๆ อ่ะ! กินนี่ก่อน เล่นมาทั้งวัน เพลินจนลืมเวลา” ชายหนุ่มยื่นข้าวกล่องให้ “พี่ว่าเดี๋ยวเรากินเสร็จไปถ่ายรูปกันตรงซุปเปอร์สแปลชตอนที่น้ำกระจายๆ นั่นดีกว่า…น่าจะสวยดี อิอิ”
“อื้อๆ เอาสิๆ” สาวน้อยยิ้มรับอย่างร่าเริง

“เอ่อ…ขอโทษครับ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้มั้ย” ชายหนุ่มวานให้ผู้ชายสูงวัยคนนึงถ่ายรูปให้ “เดี๋ยวถ่ายตอนที่น้ำกระจายพอดีนะครับ ขอบคุณครับ”
“เอาล่ะน้าาา 1 2 3” เสียงชัตเตอร์ดัง ภาพถ่ายคู่ภาพแรกของวันนี้ก็ถูกถ่ายขึ้น
“เห็นหนุ่มสาวมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้แล้วมันครึกครื้นดีเนอะ…กุ๊กกิ๊กน่ารักดี”
“อิอิ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ…นี่พี่ชายหนู” สาวน้อยแก้ต่างไม่ให้ใครเข้าใจผิด
“อ่าว พี่น้องกันหรอกหรอ” ชายสูงวัยถามด้วยความสงสัย
“ฮ่าๆๆ ใช่ครับ พี่น้องกัน” ชายหนุ่มตอบ
.
.
ทั้งสองต่างไม่กล้าที่จะสบตากัน
เพราะเรา…ไม่ใช่พี่น้องกันสักหน่อย
.
.
.

HalfLove

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
เธอเป็นคนน่ารัก มีเธออยู่ด้วยฉันรู้สึกอุ่นใจ ฉันมีความสุข
เธอเป็นคนน่ารัก มีเธออยู่ด้วยฉันมีความสุข เธอทำให้ฉันยิ้มได้

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
เธอเป็นคนดี ฉันดีใจที่ได้พบเจอคนอย่างเธอ
เธอเป็นคนอ่อนหวาน ฉันดีใจที่ฉันได้อยู่ในสายตาเธอ

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
เธอเป็นคนสำคัญของฉัน ฉันรู้ว่าเธอจะดูแลฉันได้ดีที่สุด

เธอเป็นคนสำคัญของฉัน ฉันรู้ว่าฉันจะดูแลเธอได้ดีกว่าใครๆ

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
บางทีฉันก็อยากให้เธอไปอยู่ข้างกัน เวลาที่ฉันไปเล่นสนุก เราจะได้สนุกด้วยกัน
บางทีฉันก็อยากให้เธอชวนฉัน ไปนั่งเล่นกันเพลิน มองธรรมชาติด้วยกัน

ฉันรักเธอนะ
ฉันรักเธอนะ
ฉันกลัวเธอจะเบื่อฉัน …ที่ต้องนั่งรอ ในขณะที่ฉันสนุกอยู่คนเดียว
ฉันกลัวเธอจะเบื่อฉัน …ที่ฉันนั่งรอ แล้วไม่คิดจะไปสนุกด้วยกันกับเธอ

แต่ฉันอยากบอกเธอว่าฉันรักเธอนะ …เพราะฉันรู้ว่าเธอรักฉันมากที่สุด
แต่ฉันอยากบอกเธอว่าฉันรักเธอนะ …เพราะเธอคือคนที่ฉันรักมากที่สุด

Monday, October 10, 2011

น้ำท่วม

Anonymous1 : ทำไมเน็ตจิงมันกากจังอ่ะ เล่นอะไรไม่ได้เลยเนี่ยะ
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า ปกติมันก็โอเคนี่หน่า?

Anonymous2 : ทำไมผมโหลดบิทไม่ค่อยขึ้นเลยอ่ะ ผมใช้ colo แล้วนะ
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า สัญญาณเลยไม่ดี

Anonymous3 : พี่เอก...วันนี้เพื่อนนัดเค้าอ่ะ เค้าอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าไปรอเพื่อน
แต่มันไม่มา
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า เขาออกจากบ้านลำบากป่าว...ใจเย็นๆ นะ

Anonymous4 : เฮ้ออออ โลตัสคนเยอะมากอ่ะ
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า ก็คงต้องตุนอาหารกันไว้ก่อนแหละ, คนกรุงเทพฯ สู้ๆ

Anonymous5 : พี่เอกกี้...ทำไมผู้ชายเลวงี้อ่ะ มันเลิกกะหนูแล้วไปจีบแฟนเก่า คือตอนที่คบกะหนู...แฟนเก่ามันนี่แหละ ที่ทำให้เราทะเลาะกันบ่อยมาก ตอนนั้นก็บอกว่าก็แค่เพื่อนกัน เราก็เชื่อ ...ดูตอนนี้ดิ!!! มันไปจีบแฟนเก่าอ่ะ แปลว่าที่ผ่านมามันหลอกหนูมาตลอดเลยอ่ะดิ!!
Eakky : เพราะน้ำท่วมรึเปล่า . . . .

ตอนนี้ใครบ่นรัยมา ผมอ้างน้ำท่วมหมดอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

Sunday, October 9, 2011

สองสิ่งที่หลายคนไม่เข้าใจ

เวลาที่ผมอัพ Status ใน Facebook
เวลาที่ผมเริ่มจะ Tweet ใน Twitter
เวลาที่ผมเริ่มจะเขียน Blog
ผมพบว่ามีอยู่สองเรื่องที่จะต้องพิมพ์แล้ว พิมพ์อีก
อ่านแล้ว อ่านอีก
ลบแล้ว ลบอีก

หนึ่งคือ “ความรัก”
ความรักเป็นแค่เรื่องของคนสองคน
แต่มีคนมากมายพยายามมายุ่ง
...คนมากมายเหล่านั้น ไม่มีวันเข้าใจ

สองคือการเมือง
การเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคน
แต่คนมากมายพยายามไม่ยุ่ง
...คนมากมายเหล่านั้น ก็ไม่มีวันเข้าใจ

Saturday, October 8, 2011

นี่มันระดับชาติ! (2)

Genki : เอก เอก
Eakky : ครับ
Genki : ขอบคุณนะ
Eakky : ขอบคุณ? ขอบคุณอะไรอ่ะ?
Genki : ขอบคุณที่คนไทยส่งเงินก้อนใหญ่มาช่วยญี่ปุ่นตอนแผ่นดินไหว
Eakky : !!!!

ถึงจังหวะแบบว่างงมาก มันมาอารมณ์ไหนฟะ!!
อ้อ! คงอยากจะพูดถึงความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นล่ะมั้ง

Genki : เอกรู้มั้ยว่าคนญี่ปุ่นต้องการเป็นเพื่อนกับคนไทย
Eakky : ฮ่าๆ จริงหรอ…คนไทยก็ต้องการเป็นเพื่อนกับคนญี่ปุ่นเหมือนกัน!
Kanaji : อื้อ เงินที่คนไทยส่งมาให้ เป็นเงินที่ก้อนใหญ่มาก ขอบคุณจริงๆ
Eakky : ไม่เป็นไรครับ

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นตัวแทนประเทศไทยเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ
ระหว่างนั้น Genki ก็หันไปจับคอมแล้วเริ่มต้นค้นหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

Genki : เอกรู้จัก "ปุระนิน" มั้ย?
Eakky : หา?? อะไรนะ ปุระนิน?
Genki : เอ่อ ออกเสียงไงอ่ะ ปุระนิน?
Eakky : อ๋อ "ปลานิล"
Genki : เอกรู้มั้ยว่าปลานิลอ่ะ เจ้าชายญี่ปุ่น...
Eakky : อ้อ!! รู้ๆ ปลานิลคือปลาของญี่ปุ่น
Genki : . . .
Eakky : เป็นปลาที่เจ้าชายญี่ปุ่นอะกิฮิโตะถวายให้เจ้าพระอยู่หัวของไทย
Genki : เฮ้!!! ทำไมถึงรู้อ่ะ รู้ได้ไง?...ข่าวนี้ดังมากในไทยหรอ?
Eakky : ไม่รู้อ่ะ คิดว่าไม่ดังนะ
Genki : อ่าว...ทำไมเอกถึงรู้ล่ะ
Eakky : . . .

นั่นดิ! ถ้ามันไม่ดังทำไมผมถึงรู้อ่ะ…คนอื่นรู้กันป่าวอ่ะ?

Eakky : หรือว่าเรื่องนี้จะดัง แต่ผมว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้มั้ง
Genki : แล้วทำไมเอกถึงรู้ล่ะ?
Eakky : ตอบไงดีอ่ะ…คือว่า… ผมอ่านมาเยอะล่ะมั้ง บังเอิญว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เคยอ่านผ่านมา ก็แค่นั้นอ่ะครับ
Genki+Kanaji : SUGOI EAK

Friday, October 7, 2011

นี่มันระดับชาติ! (1)

บทสนทนาในวันนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่หลังจากซื้อข้าวกลางวันหิ้วกลับมากินในห้องวิจัย

อธิบายเพิ่มเติม
“ห้องวิจัย” ในภาษาญี่ปุ่นคือคำว่า 研究室 kenkyuushitsu หรือออกเสียงเป็นไทยประมาณว่า “เคง-คีว-ชิทซึ” ในความเข้าใจก็คือ “common room” ของแลปนั่นแหละครับ ก็คือห้องที่นั่งวิเคราะห์ผล สรุปผล แต่ไม่ใช่ห้องทำแลป จึงทานอาหารในห้องนี้ได้

บทสนทนาทั้งหมดแปลเป็นไทยโดยผมเอง ซึ่งขอรับรองว่า คำสื่ออารมณ์แปลตรงตามธรรมชาติของภาษา และธรรมชาติของนิสัย ของคนญี่ปุ่นแน่นอนครับ

Genki : เอก เอก, วันนี้เราจะไปเอารูปจากคุณลุคแมน เอามาใส่ในกรอบรูปดิจิตอล
Eakky : อื้อ! เยี่ยม เราจะได้มีรูปเก่าๆ ด้วย
Genki : อือ ดีเนอะ
Eakky : อืม…เอ้อ รู้มั้ย เมื่อเดือนที่แล้วผมมีความสุขมากอ่ะ
Genki : ทำไมอ่ะ? ทำไม?
Eakky : เดือนที่แล้วนักเรียนจีนกลับจีนไปเยอะ บางคนก็ย้ายออกไปจากหอแล้ว ก็เลยเหลือแค่ผมกับคนจีนอีกแค่คนเดียว ห้องครัวกับห้องน้ำที่หอก็เลยสะอาดมาก สุดยอดเลยแหละ ผมชอบมากอ่ะ ฮ่าๆๆ
Genki : (หัวเราะ)
Eakky : แต่เมื่อวานนี้ คนจีนย้ายกลับเข้ามาเยอะแล้วอ่ะ เขาคุยกันเสียงดังมาก น่ารำคาญสุดๆ ตอนกลางคืนด้วยนะ
Genki : แล้วเอกหลับได้มั้ยอ่ะนั่น
Eakky : ได้แหละ แต่ดึกมากอ่ะ ประมาณตีหนึ่ง …มั้ง
Genki : ลำบากเนอะ
Eakky : อื้อ แย่มากเลยอ่ะ

ถึงตรงนี้เราก็เดินกันมาถึงห้องวิจัยแล้ว Genki หันไปเล่าให้ Kanaji ซึ่งเป็นรุ่นน้องอีกคนในแลปฟังว่าผมเล่าอะไรให้ฟังบ้าง Kanaji ก็วิจารณ์ต่อว่า ก็จริงนะ คนจีนจะชอบส่งเสียงดังอ่ะ แย่หน่อยนะ

Kanaji : ระหว่างจีน กับเกาหลี เอกชอบทางไหนมากกว่า
Eakky : เอ่อ…ยังไงอ่ะ ผมหมายถึงว่าในเรื่องอะไรอ่ะ?
Kanaji : ทั่วๆ ไปก็ได้
Eakky : ชอบเกาหลีมากกว่านะ แต่ที่หอก็ไม่มีคนเกาหลีอ่ะ ผมก็ไม่รู้แฮะ
Kanaji : เอกรู้ข่าวฟุตบอลสโมสรของญี่ปุ่นแข่งกับเกาหลีมั้ย?
Eakky : เอ๋? ไม่รู้อ่ะ มีเรื่องอะไรหรอ?
Genki : ก็ตอนที่เชียร์อ่ะ กองเชียร์ของเกาหลีมีคนทำธงที่เขียนว่า “ขอให้ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหว” (Genki พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น)
Eakky : เฮ้ย! จริงอ่ะ เขียนเป็นภาษาอะไร?
Kanaji : ญี่ปุ่นครับ ถ้าเป็นอังกฤษก็คือ “We pray for earthquake in Japan.”
Eakky : ยังไงอ่ะ เขาจงใจจะสื่อว่า “We pray for Japan about earthquake crisis” หรือเปล่า?
Kanaji : โน โน โน… มันเป็นคำที่ชัดเจนมาก เขาเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นเลย มันเหมือนว่าเขายินดีที่เราเจอกับแผ่นดินไหว (Kanaji ใช้คำว่า ‘glad’)
Eakky : ยินดีหรอ?
Kanaji : (พูดด้วยสีหน้าโกรธแค้น) ใช่ พวกเขารู้สึกยินดี
Eakky : . . .

International1

เรื่องความสัมพันธ์เกาหลีกับญี่ปุ่นก็จบลงไปแบบผมไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะธงมันต้องการสื่ออะไรจริงๆ อันนี้ผมก็ไม่เคยเห็น แต่ก็เป็นอันเข้าใจว่าคนญี่ปุ่นอ่านแล้วเข้าใจว่า “พวกเราภาวนาให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในญี่ปุ่น” ซึ่งมันก็ได้ทำให้คนญี่ปุ่นไม่พอใจมาก… หรือเรื่องนี้อาจเป็นแค่การเข้าใจผิดกันแน่

บทสนทนานี้ยังไม่จบ แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องที่คุยในวันนี้มันวาไรตี้มาก เลยอย่างให้หนึ่งเรื่องที่เขียนมีเนื้อหาไปในทางเดียวกันครับ ก็เลยขอแยกตัดตอนไว้แค่นี้ก่อน

(โปรดอ่านต่อตอนถัดไป)

Thursday, October 6, 2011

INDIVIDUALISM(1) ทฤษฎีสมองบอดสี

มีคนเคยพูดกับผมว่า “ทำไมต้องคิดอะไรสวนทางกับคนอื่นเขาด้วยอ่ะ”
ผมตอบ “ไม่รู้สิ”
เขาถามต่อไปว่า “เวลาที่ต้องคิดขัดแย้งตลอดเวลาเนี่ยะ ไม่เหนื่อยบ้างหรอไง”
ผมยังคงตอบว่า “ไม่รู้สิ”
เขายังคงคาดคั้นต่อไป “เนี่ยะ พอถามดีๆ ก็ชอบกวนตีน”
ผมยังคงตอบว่า “อ้าว! ก็ไม่รู้จริงๆ อ่ะ”
.
.
.

ผมเห็นสีฟ้า เป็นสีฟ้าสวยงามแบบที่ผมเห็นตั้งแต่เกิด
ผมเริ่มคิด
“คนอื่นจะเห็นสีฟ้าแบบเดียวกับที่ผมเห็นหรือเปล่านะ?”
ผมอาจเห็นสีฟ้าในแบบของผม คนอื่นอาจเห็นสีฟ้าเป็นอีกแบบนึงก็ได้
แต่เราก็จดจำกันเองว่าสีฟ้าของแต่ละคนเป็นยังไง
.
.
ผมคิดต่อไป
หรือสีฟ้าที่ผมเห็นคนอื่นอาจเห็นเป็นสีส้ม
แต่เขาก็แยกแยะได้ว่าสีที่เขาเห็นคือสีฟ้า
สีฟ้าของผม มันงดงามในสายตาของผม มันไปเข้าคู่กับอะไรก็ดูดีไปหมด
แต่ถ้าคนอื่นไม่ได้เห็นสีฟ้าแบบที่ผมเห็นล่ะ
ถ้าเขาเห็นสีฟ้าเป็นสีส้มจริงๆ
เขาก็คงไม่คิดว่าการเอาสีฟ้าไปคู่สีเขียวเป็นเรื่องที่ดูดีมากนัก
.
.

บางที
สีที่แต่ละคนในโลกนี้เห็น อาจมีความแตกต่างกันมาก
แต่เราจะรู้ได้ไงว่าต่างกันจริงๆ เพราะเราก็คงมองผ่านสายตาของใครไม่ได้
มันไม่ใช่แค่การเอาลูกตาคนอื่นมาใส่
เพราะสมองเราต่างหากที่แปลผลสีต่างๆ ที่เห็นให้เราจดจำ
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ล่ะ
ไม่ว่าผมจะเอาตาใครมาใส่ ผมก็ยังเห็นสีฟ้าเป็นสีฟ้าที่ผมคุ้นเคยอยู่ดี

หรือว่าเราอาจจะต้องเปลี่ยนสมอง

ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะจำได้ยังไงว่าสีฟ้าที่เราเคยเห็นเป็นเช่นไร
ดังนั้น มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ว่าคนอื่นเห็นสีฟ้าเป็นยังไง
.
.
เพราะโลกที่เห็นอาจจะแตกต่างกัน
ภาพที่เราเห็นอาจจะแตกต่างกัน
ต่างคน ต่างมุมมอง
ต่างคน ต่างความคิด
ต่างคน ต่างความรู้สึก
.
.
.
ผมอาจเป็นหนึ่งในคนที่มองเห็นสีต่างๆ ไม่เหมือนคนส่วนใหญ่
ผมอาจไม่ใช่คนที่ตาบอดสี
แต่ผมอาจเป็นคนสมองบอดสี ถ้าเทียบกับคนอื่นทั่วไป โดยที่ผมไม่รู้ตัว
โลกที่ผมเห็นจึงแตกต่าง

แต่โลกที่ผมอยู่ ก็คือโลกใบเดียวกับทุกคน

.
.
.

ผมเริ่มกลับไปตอบคำถาม
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า “ผมไม่ได้กวนตีน”
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า “ผมก็ไม่ได้เหนื่อยที่คิดขัดแย้ง”

Individualism1

ผมรู้สึกโชคดี
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า “ผมเป็นคนสมองบอดสี” ภาพที่ผมเห็นจึงไม่เหมือนใคร

Wednesday, October 5, 2011

ก็งงนะ…แต่ “ยอม”

        เรื่องของ apps จับคู่หมาที่คนไทยเล่นกันทั่วบ้านทั่วเมืองจนเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้น ในที่สุดเจ้าของ apps ก็ block คนไทยเรียบร้อยแล้วครับ

        ก่อนอื่นผมขอเอาเนื้อหาบน Facebook ที่ผมเขียนไว้บน Wall ของผมเองมาให้อ่านก่อนแล้วกันนะครับ เนื้อหาที่ผมเขียนก็ตามไปได้โดยคลิก ตรงนี้ เลยครับ

ส่วนตัวผมเอง ผมคิดว่ามันเป็นอุทาหรณ์ หรือเรื่องที่ชวนให้ฉุกคิดได้ดีเรื่องนึง ซึ่งต่อมาผมก็พบว่าแม้แต่จ่าแอดมินของเว็บ drama-addict ก็คว้าเรื่องนี้ไปเขียนเช่นเดียวกันครับ ซึ่งจ่าก็เห็นในประเด็นที่คล้ายๆ กับผม แต่ผมว่า…จ่าเขียนได้ละเอียดแล้วก็มันส์มากเลย ฮ่าๆๆ ถ้าอยากอ่านของจ่าก็คลิกดูที่ลิงค์ข้างล่างนี้ก็ได้ครับ
http://drama-addict.com/2011/10/02/คนไทยรักหมา/

        ทีนี้มาเริ่มที่เรื่องของผมมั่งดีกว่า… เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อมีเพื่อนผมนางหนึ่งรหัสชื่อ S3 ก็ได้เล่น apps นี้เหมือนๆ กับคนไทยอีกหลายแสนคนอ่ะครับ แล้วก็มาโพสไว้ใน Facebook เนื้อหาโดยละเอียดถ้าเจ้าของ Facebook เขาไม่ได้กำหนด privacy ไว้ ก็สามารถตามอ่านได้ที่ต้นฉบับ ลิงค์นี้ เลยครับ… แต่ส่วนตัวแล้ว ผมแนะนำให้อ่านข้างล่างนี้ก็ดีกว่าครับ เพราะผมเซ็นเซอร์ชื่อด้วยตัวเอียงแล้วครับ ส่วนข้อความอื่นๆ ผมใช้ copy & paste ครับ อรรถรสในการอ่านไม่ต่างจากต้นฉบับแน่นอน

========== ========== ==========
สาวS3 : ((โพสรูปจาก apps)) ม่ายยยยยยยยยยยยยย T^T
OTHER1 : ทำไมเธอเป็นแบบนี้ 55555+
สาวP4 : ๕๕๕๕+ คอลลี่เชียวนะ ฉลาดพอๆกับ Golden ของช้านหมาโง่อ่ะ T^T แงๆๆๆๆๆๆๆ
สาวP4 : ยังงามได้อยู่ ๕๕๕+

สาวS3 : ตัวดำ หูตั้ง สเป็กเรยอ่ะ555
สาวP4 : เพื่อนๆ ใครเล่น App Dog-A-Like ...อ่านด่วนๆ&ฝากประกาศ
ขอให้คนไทยหยุดไปเล่นแอพนี้แล้วช่วยกดอันไลค์ด้วยจ้า เพราะมันเป็นเพจสำหรับบ้านให้สุนัขจรจัดในออสเตเรีย โดยจับคู่หน้าให้กับผู้ที่ต้องการเอาสุนัขไปเลี้ยง เจ้าของเพจพูดถึงคนไทยเลยว่า..หยุดเล่นเพราะความสนุก เพราะเราเอาสุนัขไปเลี้ยงไม่ได้ รบกวนช่วยประกาศต่อๆด้วยนะคะ
>>ก่อนอื่น edit ใต้ภาพของเรา เอาLinkออกไปเลยจ้า (ตัดทางเข้า)
สาวP4 : แอบเคืองคนไทย ที่ด่าคนไทยด้วยกันเองอ่ะ ไม่โกรธเจ้าของนะ..เพราะเข้าใจว่าเค้าโมโหอ่ะ
เอกกี้ : P4 เธอผิดแล้ว!
เอกกี้ : <<<Like page>>>
1. ทาง pedigree จะสนับสนุนอาหารหมาให้กับหมาจรจัดในออสเตรเลียเป็นเรื่องที่ดีแล้ว
2. เจ้าของไม่เคยด่าอะไรเลย แล้วก็ไม่เคยไม่พอใจเรื่องที่คนไทยไปเล่นด้วย เพราะเขาตั้งใจทำ app นี้ขึ้นมาเพื่อให้คนสนใจ แล้วเข้าไปเล่นกันเยอะๆ เวลาเล่นก็จะได้รู้ว่ามีกิจกรรมแบบนี้อยู่ ให้มาช่วยกันกด Like เยอะๆ กองทุนเขาจะได้ได้รับอาหารหมาไปช่วยเหลือหมาจรจัดได้เยอะๆ
3. ที่ฝรั่งเขาไม่พอใจกัน คือ เรื่องที่มีคนไทยบางส่วนเอารุปหมาของตัวเองไปโพสบนเพจนั่น แถมยังพิมพ์ภาษาไทยกันอีก ...ทั้งๆ ที่มันเป็นเพจช่วยหมาจรจัด ไม่ใช่เพจคนรักหมา...((จะเอาหมาตัวเองไปอวดกันทำไมมิทราบ))
4. จากนั้นแอดมินเพจยังออกมาบอกอีกว่า เขาไม่ว่าอะไรนะ เขาตั้งใจทำเพจมาเพื่อให้เพจน่าสนใจ คนสนใจเยอะๆ ก็มาสนุกสนานด้วยกันไม่น่าเป็นอะไร
5. แต่มีคนไทยที่อ่านอังกฤษไม่แตกฉาน เสือกแปลแล้วคิดว่าแอดมินไม่พอใจ...คิดว่าฝรั่งไม่อยากให้เล่น เลยมาป่าวประกาศว่าเขาห้ามเล่น
....
....
6 จริงๆ เขาให้เล่นได้เหอะ เฮ้อออออ

สาวS3 : =*=
OTHER2 : ((โพสลิงค์ของเว็บดราม่า)) อ่ะ ที่มาของปัญหา
สาวP4 : @เอกกี้ - ใจจ้า สำหรับข้อมูล (ได้ข่าวมาผิดเองอ่ะ ๕๕๕๕+) แต่ที่โมโหเนี่ยคือคนไทยที่ด่าคนไทยด้วยกันเองนะ จำที่มันด่าไม่ได้ แต่แปลได้ประมาณว่า "บล็อกประเทศนี้ไปเถอะ ผมก้เป็นคนไทย แต่ผมว่าคนไทยมีแต่พวกโง่/งี่เง่าจริงๆ" ปรี๊ดแตกกกกกกกกกกกก
สาวP4 : เราอ่ะเล่นแต่ไม่ได้ Like ให้เพจนะ ตังแต่แรกแระ
สาวP4 : @OTHER2 - ใจจ้าสำหรับเว็บดราม่า ชอบมากๆ ได้หลังไมค์มาจากรุ่นพี่แระอ่ะ
สาวP4 : ดราม่าเอย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น ๕๕๕๕๕
สาวP4 : @เอกกี้ - ลืมบอกอ่ะ ว่าช้านเกลียดข้อ6ของแก อ่านแล้วอารมณ์ว่า.."ก็กูไม่รู้!! มีคนบอกกูมาแบบนี้ แล้วกูก็ไม่ได้ว่างมานั่งสืบต้นตอ ถ้ามันผิดมากก็ขอโทษที่กูได้ข่าวมาผิดอีกแระ กูมันก็โง่ ไม่ฉลาดเท่าพวกมึง โอเคปะ?" ถึงสมองจะพยายามเข้าใจว่าพวกแกหวังดี แต่ขอโทษด้วยที่กูอดทนไม่ได้นาน แล้วไม่ชอบให้ใครมาอวดฉลาด..เพราะกูรู้ดีว่าตัวเองโง่ >>>> ขอเตือนว่าอย่าต่อประเด็นนี้ให้เป็นดราม่า เพราะกูจะไม่มาอ่านต่อแระ อารมณ์ขึ้น<<<< กูจะจำไว้ว่า การไม่รูคือเรื่องผิด เพราะเห็นหลายทีแระนะ ไม่ชอบว่ะ

สาวS3 : เอ่อ.. เจ๊P4ใจเย็น เย๊นนน >'<
เอกกี้ : ยอม
========== ========== ==========

…แล้วเรื่องนี้จะเป็นยังไงต่อไป ช่องว่างจากประโยคคำขอบใจสำหรับข้อมูล กลายเป็นไม่ชอบให้ใครมาอวดฉลาด ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา… ช่วงเวลานั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันหนอ?

ขอเพิ่มเติมอย่างนึงที่ผมอยากแนะนำ (อวดฉลาดอีกแล้ว) ก็คือ…
        สังคมออนไลน์ ข่าวสารต่างๆ จะไวมาก ในมุมหนึ่งเราทำหน้าที่เป็น “ผู้รับสาร” แต่ในอีกมุมหนึ่งหากเราเริ่มโพสข้อความ หรือแม้แต่เพียงคอมเม้นสั้นๆ นั่นคือเรากำลังทำหน้าที่เป็น “ผู้ส่งสาร” ทันที… แต่ยิ่งไปกว่านั้น สังคมออนไลน์เป็นสังคมแบบเปิดครับ คือทุกคนสามารถเห็นข้อความ ทั้งแบบที่ตั้งใจเข้ามาอ่าน หรือบังเอิญผ่านมา สามารถเห็นข้อความนั้นๆ ของเราได้ทันทีครับ ตัวอย่างเช่น
Twitter : ด้วยการพิมพ์ข่าวบอกต่อทันที หรือการ Retweet
Facebook : โพสหน้า wall ตัวเองหรือ comment ข่าวฝากบอกต่อ
ดังนั้น เราไม่ใช่เพียงแค่ผู้ส่งสาร แต่เราเป็น “สื่อ” เลยทีเดียวครับ
        อย่างไรก็ตาม แม้เราจะบอกว่าเราตั้งไว้ให้เฉพาะเพื่อนๆ เท่านั้นที่เห็น ไม่ใช่สาธารณะสักหน่อย อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองล่ะครับ… โดยส่วนตัว ยิ่งเพื่อนๆ กันนี่แหละครับที่เขาจะเชื่อเราได้ง่ายที่สุด ดังนั้น ในฐานะผู้ส่งสาร ควรมีความรับผิดชอบในข้อความ(สาร)ของตน ทางที่ดีที่สุดคือ ยิ่งข่าวนั้นมีความสำคัญมากเพียงใด ควรเขียนแหล่งที่มาของข่าวนั้นให้ชัดเจนครับ หนึ่งคือเพื่อให้ข่าวของเราน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้ สองคือเพื่อให้คนอ่านสามารถอ้างอิงแหล่งที่มานั้นและต่อได้ทันที

“ไม่มีข่าวข้อเท็จจริงใด ผุดขึ้นกลางอากาศ
การคาดการณ์ พยากรณ์ ก็มีที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ
อ่านมา ฟังมา อย่าเพิ่งรีบพัดกระพือ
หากพร้อมจะลือ จงรับรู้และพร้อมรับผิดชอบคำพูดตนเอง”

        ส่วนตัวผมแล้วถ้าเป็นคนอื่นที่ผมไม่รู้จัก ผมก็ไม่ไปแก้อ่ะครับ เพราะมันเสี่ยงมากต่อการถูกเข้าใจว่าไปหักหน้าเขา… ไม่มีใครอยากเสียหน้าครับ จึงต้องระมัดระวัง แต่บางทีผมเองก็ทนไม่ได้ แทรกตัวไปแก้ข่าว… ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับผิดชอบคำพูดตนเองด้วยการรองรับอารมณ์ที่ไม่คาดฝันด้วยเช่นกัน

ก็ยังงงๆ แต่ก็ “ยอม”

Saturday, October 1, 2011

จำได้ว่าชอบผู้ชายเทคแคร์

บทสนทนานี้เกิดขึ้นใน Whatsapp คุยกับน้องสาวB3

พี่เอกกี้ : พี่คิดถึงน้องหงอ่า ฮ่าๆๆ
น้องB3 : 555+ แหม่ พี่เอก
พี่เอกกี้ : เดี๋ยวเปิดคอมดีกว่า วันนี้น้องหงสอบวันสุดท้าย
น้องB3 : อ่อหรอ… น้องหงตลอด
พี่เอกกี้ : ฮ่าๆ อื้อ น้องสาว น้องสาว แหม่…
น้องB3 : งั้นเดี๋ยวไปหาในเอ็มนะ
พี่เอกกี้ : โอเค แป้บนะ เปิดคอมก่อน
น้องB3 : ขอไปล้างจานกะไปขี้ก่อน
พี่เอกกี้ : โห… งั้นเสร็จแล้วเรียกนะ
น้องB3 : 555+
พี่เอกกี้ : เดี๋ยวไปล้างตูดให้ ฮ่าๆๆ
น้องB3 : ทุเรด 5555555
พี่เอกกี้ : อ่าว…ก็อยากให้รู้ว่าเทคแคร์ ฮ่าๆๆๆ

. . .
. . .
"ก็จำได้ว่าชอบผู้ชายเทคแคร์”