พักหลังๆ ผมเห็นการเขียนพระราชดำรัสมากมาย
บ้างอ้างว่าเป็นคำรำพึง บ้างอ้างว่าคำกล่าวแต่คนสนิท
มิได้เป็นทางการ หรือมีมูลเท็จจริงประการใด
แต่คนก็ส่งต่อกัน ด้วยซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
. . . . . . . . . .
ทุกวันนี้ข้อความต่างๆ เหล่านี้ถูกส่งต่อกันผ่านสังคมออนไลน์มากมาย ล้วนแล้วแต่กินใจ และซาบซึ้งใจยิ่ง หากแต่ว่าจะมีใครได้ขบคิด ว่าหากข้อความเหล่านั้นไม่ได้เป็นพระราชดำรัส ท่านที่ส่งต่อข้อความทั้งหลายจะรู้สึกเช่นไร
บ้างว่า… ไม่เป็นไรนี่ เพราะเป็นเรื่องดีๆ ไม่ได้เสียหายสักหน่อย
บ้างว่า… ถึงแม้จะไม่ใช่พระราชดำรัส แต่ก็น่าจะเป็นพระราชดำริของพระองค์
บ้างว่า… ก็แค่อยากเปรียบเทียบกับไอ้พวกนักการเมืองเหียกๆ ที่ตนไม่ชอบ
ไม่ว่าท่านจะคิดเห็นเช่นใด ผมว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการดึงพระองค์ท่านลงมาเปรียบเทียบกับคนที่ท่านไม่ชอบนั่นแหละ ยิ่งท่านเขียนเปรียบเทียบมากเช่นไร เท่ากับว่าท่านกำลังดึงพระองค์ท่านลงมามากเท่านั้น …ล่าสุดพระบรมมหาราชวังถึงขั้นออกหนังสือชี้แจงถึงข้อความที่ส่งต่อกันในสังคมออนไลน์ ว่าไม่มีใครรู้เรื่อง หรือรับรองว่าเป็นเรื่องจริงกันเลยทีเดียว
ดังนั้น ผมเองก็อยากให้ทุกคนขบคิดเล่นๆ ฉุกคิดสักนิด การส่งต่อความประทับใจเหล่านั้น มันเป็นผลดี จริงหรือไม่?
เรื่องนี้เอาจริงๆ ผมว่าก็พูดยาก แต่ผมขอให้คิดกันให้มากก็แล้วกันครับ
ยิ่งในยามที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากทุกคนได้ย้อนอ่านและรับรู้ว่าการเมืองไทยที่ผ่านมานั้น ก้าวไปเช่นไรบ้าง ท่านอาจจะคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์ถัดไปต่อจากนี้ จะเป็นเช่นไร เพราะ…
“ประวัติศาสตร์มันมักจะซ้ำรอยเสมอ”
สุดท้ายนี้…
ผมขอฝากพระราชดำรัสตอนหนึ่งไว้ให้ขบคิด
“…ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน แก้ปัญหา เพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฎิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่า จะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง…”
พระราชดำรัสสมัย พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
เมื่อครั้งที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2535 เวลา 21.30 น.