Friday, October 26, 2012

ไหนอ่ะ?

หนุ่มซ่า : ดอกกุหลาบงามๆ สำหรับคนสวยๆ ครับ
สาวโสด : แหม . . .
หนุ่มซ่า : ครับผม
สาวโสด : แล้วไหนล่ะคะ? ดอกไม้
.
.
.
.
.

หนุ่มซ่า : …แล้วไหนล่ะครับ? คนสวย

Tuesday, August 21, 2012

ฉันเอง…

มีคนบอกว่าฉันน่ารัก
มีคนบอกว่าฉันเก่ง
มีคนบอกว่าฉันมีสาระเสมอ
มีคนบอกว่าใครๆ ก็พึ่งฉันได้

ฉันก็เป็นอย่างที่เธอบอกนั่นแหละ
ฉันน่ารัก เพราะเธอเห็นฉัน
ฉันเก่ง เพราะเธอเห็นฉัน
ฉันมีสาระเสมอ เพราะเธอเห็นฉัน
ฉันพึ่งพาได้ นั่นก็เพราะเธอเห็นฉัน

แต่ฉันก็มีมุมมืดในจิตใจ
ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาที่ยิ้มรับกับเรื่องแย่ๆ ได้อย่างหน้าตาเฉย
ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาที่ให้กำลังใจใครต่อใคร ในวันเขารู้สึกว่าไม่มีใคร
ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาที่ตั้งใจฟัง ทุกสิ่งที่ใครๆ อยากให้มีใครสักคนเข้าใจ
ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาที่ได้ยิน แม้ในสิ่งที่เขาไม่ได้พูด
...ในวันแย่ๆ ของเธอ เธอจะมีฉันเสมอ

แต่วันนี้ฉันสุดจะท้อแท้
ฉันก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ยิ้มรับกับเรื่องแย่ๆ ได้อย่างหน้าตาเฉย
ฉันก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ยังคอยให้กำลังใจใคร แม้วันที่ฉันรู้สึกว่าไม่มีใคร
ฉันก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ตั้งใจฟัง ทุกสิ่งที่ใครๆ อยากให้มีใครสักคนเข้าใจ
ฉันก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ยังได้ยิน สิ่งที่เขาไม่พูด
...ในวันแย่ๆ ของฉัน เธอก็จะยังมีฉันเสมอ

ฉันขอยืนยันว่าวันนี้ฉันท้อแท้ที่สุด
ฉันก็ยังน่ารัก อย่างที่เธอเห็นฉัน
ฉันก็ยังเก่ง อย่างที่เธอเห็นฉัน
ฉันก็ยังมีสาระ อย่างที่เธอเห็นฉัน
ฉันก็ยังพึ่งพาได้ อย่างที่เธอเห็นฉัน

. . . . . ตกลงแล้ว เธอเห็นฉันหรือเปล่านะ? . . . . .

Monday, August 6, 2012

เรื่องเศร้าแกมอบอุ่น

[10:15:40 PM] Meimoei : ข่าวร้าย
[10:15:55 PM] Eakkasit : ทำไมอ่าาาาา
[10:16:07 PM] Meimoei : งานนี้เต้นเป็นงานสุดท้ายแล้วน่ะ ฮ่าๆๆๆ
[10:16:16 PM] Eakkasit : JFest นี้หรอ
[10:16:25 PM] Meimoei : ช่ายยยยยยยยยยยย
[10:16:28 PM] Eakkasit : ง่ะ T-T
[10:16:36 PM] Meimoei : จบเจเฟสก็ไม่อยู่ล่ะ
[10:16:40 PM] Eakkasit : จะไปไหนหรอ? ฝึกงาน????
[10:17:15 PM] Meimoei : ไม่ไปไหนอยู่ที่ประเทศไทยเหมือนเดิมอ่า
[10:17:25 PM] Meimoei : แต่ต่อจากนี้ จะตามตัวยากแล้วแหละ 555
[10:17:27 PM] Meimoei : ออกจากวงการ

[10:17:41 PM] Eakkasit : ;(
[10:17:45 PM] Meimoei : กลับไปใช้ชีวิตทั่วไป เหมือน เมื่อหลายปี ก่อนอ่ะ
[10:17:52 PM] Meimoei : ออกไปเรียนทำงาน บ้าง
[10:17:57 PM] Meimoei : ติดเพื่อนบ้าง
[10:18:08 PM] Meimoei : ให้เวลาครอบครัวบ้าง

[10:18:19 PM] Eakkasit : เรื่องเศร้าแกมอบอุ่น
[10:18:41 PM] Meimoei : อาจจะไม่ค่อยเข้าไปงานโคฟด้วยอ่ะ
[10:18:48 PM] Meimoei : อยากตัดขาดเลย ถ้าทำได้
[10:18:56 PM] Meimoei : เพราะฉะนั้นอย่าลืมมานะ เจเฟส

[10:19:08 PM] Eakkasit : ไม่ลืมแน่นอน ตั้งใจจะไปอยู่แล้ว
[10:19:17 PM] Meimoei : 555555555 เย่ เจอกันน๊า
[10:19:21 PM] Eakkasit : (T-T)
[10:19:52 PM] Meimoei : เสียใจเหมือนกันน่ะที่ต้องเลิกเต้น
[10:19:59 PM] Meimoei : แต่ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับย่าอ่ะ มันได้เวลาแล้ว
[10:20:05 PM] Meimoei : ไม่แน่ อาจจะกลับมาเต้นอีกเมื่อมีโอกาศ

[10:20:11 PM] Meimoei : แต่ก็อีกนานแรมปี
[10:20:16 PM] Eakkasit : เรื่องเลิกเต้นก็เฉยๆ อ่ะ
[10:20:21 PM] Eakkasit : แต่เสียใจที่จะไม่ได้เจอ
[10:20:31 PM] Eakkasit : เหมือนไม่มีอะไรให้รอคอย

[10:22:47 PM] Meimoei : ฮ่าๆๆ
[10:22:55 PM] Meimoei : พี่อาจจะไม่ได้เจอเม่ยอีกตลอดไปปปป

[10:23:17 PM] Eakkasit : ฟังดูเศร้ามาก

.
.
.

[10:23:46 PM] Eakkasit : เพิ่งเจอแค่ไม่กี่ครั้งเองอ่ะ
[10:23:53 PM] Meimoei : ฮ่าๆๆนั่นสิ่นะ
[10:24:03 PM] Eakkasit : ลายเซนก็ยังไม่ได้
[10:24:11 PM] Meimoei : จบงานนี้แล้วอีก 6เดือนเจอกัน ฮ่าๆๆ
[10:24:25 PM] Eakkasit : ตั้งใจจะขอจริงๆ รูปก็พกไว้ในกระเป๋าตลอดแหละ
[10:24:25 PM] Eakkasit : ไม่เคยกล้าขอสักที

[10:24:26 PM] Meimoei : เอาลายเซนไปไมอ่า เกะกะบ้าน น่า ฮ่าๆๆๆ
[10:24:40 PM] Meimoei : โอกาศสุดท้ายแล่ววว
[10:24:42 PM] Meimoei : ฮ่าๆๆๆๆ

[10:25:11 PM] Eakkasit : ก็...
[10:25:20 PM] Eakkasit : พอเห็นอยู่กะเพื่อนเยอะๆ พี่ก็ไม่กล้าละ
[10:25:45 PM] Eakkasit : มันดูโอเว่ออ่ะ (T-T)

[10:26:30 PM] Meimoei : บ้า  เดี่ยวเม่ยเดินออกมาเองก็ได้
[10:26:37 PM] Meimoei : ฮ่าๆๆ บอกสิ่ๆๆ

Saturday, August 4, 2012

Utada Hikaru-First Love (แปลไทย)

Translated by Eakky

最後のキスはタバコのFLAVORがした。 ニガくてせつない香り。
saigo no KISU wa TABAKO no FLAVOR ga shita.  NIGA kute setsunai kaori.

ฉันมีจูบสุดท้ายเป็นรสของบุหรี่ เป็นกลิ่นที่ขมและเจ็บปวด
明日の今ごろには あなたはどこにいるんだろう だれを思ってるんだろう
ashita no ima goro ni wa anata wa doko ni irun darou dare wo omotterun darou.

ในช่วงเวลานี้ของพรุ่งนี้ เธอจะอยู่ที่ไหนกัน จะกำลังคิดถึงใครกัน
You are always gonna be my love. いつか誰かとまた恋に落ちても。
YOU ARE ALWAYS GONNA BE MY LOVE.  itsu ka dare ka to mata koi ni ochitemo.

เธอเป็นที่รักของฉันเสมอมา ไม่ว่าฉันจะไปตกหลุมรักกับใครอีกเมื่อไหร่ก็ตาม
I'll remember to love, you taught me how. You are always gonna be the one.
I’LL REMEMBER TO LOVE YOU TOUGHT ME HOW.  YOU ARE ALWAYS GONNA BE THE ONE

ฉันจะจดจำควาามรักที่เธอเคยสอนว่ามันเป็นยังไง เธอจะเป็นคนๆ นั้นเสมอ
今はまだ悲しいラブソング。 新しい歌歌えるまで。
ima wa mada kanashii LABU SONGU.  atarashii uta utaeru made.

ตอนนี้มันยังคงเป็นเพลงรักเศร้าๆ...จนกว่าที่ฉันจะร้องเพลงใหม่เป็น

立ち止まる時間が動き出そうとしてる。 忘れたくないことばかり。
Tachitomaru jikan ga ugokidasoutoshiteru.  wasuretakunai koto ba kari.

เวลาที่แน่นิ่งเหมือนกำลังถูกทำให้เดิน... มีแต่เรื่องที่ลืมไม่ลง
明日の今頃には 私はきっと泣いている あなたを思ってるんだろう
ashita no ima goro ni wa watashi wa kitto naiteru anata wo omotterun darou.

ในช่วงเวลานี้ของพรุ่งนี้ ฉันอาจจะกำลังร้องไห้ กำลังคิดถึงเธออยู่ล่ะมั้ง
You will always be inside my heart. いつもあなただけの場所があるから。
YOU WILL ALWAYS BE INSIDE MY HEART.  itsumo anata dakeno bashou ga aru kara.

เธอจะอยู่ในใจฉันเสมอ เพราะว่าตลอดเวลาก็มีเพียงที่ว่างสำหรับเธอเท่านั้น
I hope that I have a place in your heart too. Now and forever you are still the one.
I HOPE THAT I HAVE A PLACE IN YOUR HEART TOO.  NOW AND FOREVER YOU ARE STILL THE ONE.

ฉันหวังว่าฉันจะมีที่ว่างในหัวใจเธอเหมือนกัน จากนี้และตลอดไปเธอจะยังคงเป็นคนๆ นั้น
今はまだ悲しいラブソング。 新しい歌歌えるまで。
ima wa mada kanashii LABU SONGU.  atarashii uta utaeru made.

ตอนนี้มันยังคงเป็นเพลงรักเศร้าๆ...จนกว่าที่ฉันจะร้องเพลงใหม่เป็น

You are always gonna be my love. いつか誰かとまた恋に落ちても。
YOU ARE ALWAYS GONNA BE MY LOVE.  itsu ka dare ka to mata koi ni ochitemo.

เธอเป็นที่รักของฉันเสมอมา ไม่ว่าฉันจะไปตกหลุมรักกับใครอีกเมื่อไหร่ก็ตาม
I'll remember to love, you taught me how. You are always gonna be the one.
I’LL REMEMBER TO LOVE YOU TOUGHT ME HOW.  YOU ARE ALWAYS GONNA BE THE ONE.

ฉันจะจดจำควาามรักที่เธอเคยสอนว่ามันเป็นยังไง เธอจะเป็นคนๆ นั้นเสมอ
まだ悲しいラブソング。 Now and forever
mada kanashii LABU SONGU.  NOW AND FOREVER.

มันยังคงเป็นเพลงรักเศร้าๆ…จากนี้และตลอดไป

Saturday, June 23, 2012

Bangkok Bus

     ในวันนี้ตอนเย็นๆ ที่ผ่านมาประมาณ 5 โมงเย็น บนรถเมล์สาย 36 มีคนเบียดเสียดมาก ผมขึ้นไปแล้วได้ยืนตรงบันไดพอดี

     เมื่อรถเมล์วิ่งไปประมาณ 20เมตร ก็ติดไฟแดง ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนนึงลุกขึ้นจากที่นั่ง แทรกตัวเบียดออกมาที่ประตู จนถึงจุดที่ผมขวางอยู่ แล้วพูดกับผมอย่างไพเราะว่า "ขอโทษค่ะ ขอทางด้วย" ผมเงยหน้าขึ้นแล้วพยายามจะหาทางหลบให้

ในใจผมจึงเริ่มมีคำถามขึ้นมาคือ
๑. ป้ายหน้ามันเลยไฟแดงนี้ไปอีกตั้งแยกนึงนะ คุณพี่จะรีบลุกมายืนเบียดทำไม?
๒. จะหลบไปไหนทางไหนได้วะเนี่ยะ?

     ผมเห็นว่าเก้าอี้ที่ผู้หญิงคนนี้ลุกขึ้นมา ตอนนี้ก็ยังว่างเปล่า ถ้ามีใครสักคนนั่งลงไป แล้วทุกคนขยับเข้าไปคนละหนึ่งสเตป ผมก็คงได้ขึ้นมายืนข้างบนตัวรถแล้วให้เจ๊แกไปยืนที่บันไดแทน ผมจึงบอกกับน้องนิสิตหญิงที่อยู่ใกล้ๆ ว่า “น้องครับ ทางนู้นว่าง ถอยไปนั่งมั้ยครับ” น้องคนนั้นหันมาแล้วตอบกับผมแบบห้วนๆ ว่า “ลง!” ผมจึงพยักหน้าประกอบกับเจ๊ผู้หญิงคนที่ขอทางแกก็ขยับลงมาที่บันไดแล้ว ผมก็เลยแทรกตัวปีนขึ้นมาอยู่บนตัวรถแทนที่เจ๊แกเป็นอันสำเร็จ

     จากนั้นรถเมล์เริ่มขยับเคลื่อนตัวผ่านแยกไฟแดงนี้ไป เจ๊ผู้หญิงที่บัดนี้ลงไปอยู่ตรงบันไดแล้ว ไม่สามารถที่จะกดกริ่งลงได้ จึงพูดกับผมว่า “ช่วยกดกริ่งให้หน่อยค่ะ” ผมก็เลยกดให้แบบงงๆ พร้อมกับคำถามที่สามผุดขึ้น

๓. ป้ายหน้ามันอีกตั้งไฟแดงนึงนะ ให้มันพ้นไฟแดงหน้าก่อนดีหรือเปล่า?

     พอสิ้นเสียงกริ่ง กระเป๋ารถเมล์ที่ตัวลีบไหลไปเก็บเงินอยู่หน้ารถแล้วก็ตะโกนว่า “ใครกดกริ่งคะ ไม่จอดนอกป้ายนะคุณ” พร้อมกับที่ผู้โดยสารประมาณ 6-7 คนหันมามองหน้าผมด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าในอารมณ์ที่เหมือนกับต้องการจะพูดว่า “ใครกดวะ (เพื่อนกูป่าว)”

“คือ…กูรู้ กูก็สงสัยเหมือนเมิงแหละว่าจะรีบกดทำไม แต่กูกด ก็ไม่ใช่ว่ากูจะลงไง”

     ผมก็ได้แต่ยืนยอมรับสภาพไปว่าผมนี่แหละเป็นคนที่กดกริ่งเมื่อครู่นี้

     รถเมล์ยังคงวิ่งต่อไปในสภาพรถที่อึดอัด และสำหรับตัวผมแล้วบรรยากาศในรถตอนนี้ก็อึดอัดไม่แพ้กับสภาพรถเลย จากนั้นเมื่อรถเลี้ยวโค้งผ่านแยกไฟแดงที่สอง ป้ายหน้าอยู่ห่างไปอีกเพียง 20 เมตร กลุ่มคนกลุ่มนึงหน้ารถที่หันมามองผมตอนที่ผมกดกริ่ง ก็เริ่มขยับตัวแทรกกลุ่มคนที่ยังไม่ได้จะลงป้ายนี้เข้ามาใกล้ผม จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ผู้ชายคนนึงที่เดินนำหน้ามาพูดขึ้นว่า “ขอทางหน่อยครับ ผมลงป้ายนี้”

“อ้าว เฮ้ย เมื่อกี้มึงยังมองหน้ากูอยู่เลยว่ากูรีบกด
มึงก็น่าจะคิดว่ากูลงป้ายนี้ดิวะ มึงจะมาขอทางทำไม
เชรด~ มึงรู้ว่ากูไม่ได้จะลง แล้วสายตามึงที่มองกูก่อนหน้านี้มันคืออะไร?”

ผมก็เลยมองซ้ายมองขวา คำถามที่ ๒ ก็ดังขึ้นในหัวผมอีกครั้ง ผมหันกลับไปข้างหลัง ณ ที่นั่งที่เจ๊คนแรกลุกออกมา ที่นั่งนั้นก็ยังว่างอยู่ รายล้อมไปด้วยพ่อหนุ่มสุภาพบุรุษ 5 คนที่พร้อมใจกันยืนแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเต็มที่ เสี้ยววินาทีที่ผมเอียงตัวถอยหลัง เพื่อให้พื้นที่กับกลุ่มคนที่ขอทางข้างหน้า ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากข้างหลังว่า “ขอทางหน่อยค่ะ”

“คือ…รถยังไม่จอดเรยยยย พวกเมิงจะรีบมาออกันหน้าประตูทำไมวะครับ”

ผมอยากจะหลบให้พวกคุณ แบบฉากหลบเลเซอร์นาทีที่ 1.40 นี่เลยจริง

Monday, June 4, 2012

โฟกัสภาพด้วยหัวใจ

ท่านพี่: เอกกี้, หนุ่มที่โฟกัสภาพด้วยหัวใจ

เอกกี้: ฮ่าๆๆ โฟกัสด้วยใจ ความสดใสทะลุเลนส์

ท่านพี่: อุเหม่ๆ

เอกกี้: แต่จริงๆ แล้ว ช่วงนี้ภาพที่เอกถ่ายหลุดโฟกัสเยอะมากเลยนะ ฮ่าๆๆ

ท่านพี่: ก็ใจเจ้ายังไม่นิ่ง!

Sunday, May 27, 2012

Waiting for…

เคยรู้สึกแบบนี้มั้ย?

.

.

.

ใครโทรมาหาตอนนี้
ฉันจะรักเลย

Monday, May 14, 2012

บอกรัก

     “ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้คือปลายทางของความรักครั้งนี้แล้วสินะ” ผมพูดกับตัวเองในขณะที่จินตนาการล่องลอยออกไปนอกหน้าต่างรถทัวร์ ภาพของผมเป็นวิวของแสงไฟยามค่ำจากเสาไฟฟ้ารายทางที่กำลังโบยบินผ่านสายตาของผมออกไปดวงแล้วดวงเล่า ทว่า ภาพในหัวผมกลับเลยไกลออกไป ทำให้เห็นแต่ความมืดมิดบนท้องฟ้า

     เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนหน้าที่ผมจะมาอยู่บนรถคันนี้ ผมเพิ่งพูดกับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในโลกคนนึง ด้วยคำพูดที่คิดมาเป็นอาทิตย์

พี่ขอคุยด้วยแป้บนึงสิ เรื่องจริงจังนะ คือว่า…พี่จริงจังนะ
หมายถึงพี่จริงจังกับเรามากนะ ตั้งแต่แรกเจอนั่นแหละ
มี
คนเคยบอกว่า คนเรามักทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าคนที่เรารัก
พี่ก็คงเป็นคนนึงที่ทำอะไรผิดพลาดมาตลอดเวลาต่อหน้าเรา
พี่พยายามทำทุกๆ อย่างที่จะบอกว่าพี่รักเรามากแค่ไหน
พี่พยายามหาจังหวะที่จะบอกว่าพี่รักเรามากแค่ไหน
แต่ด้วยบุคคลิกพี่ พี่ดูจริงจัง…แม้จะพูดอะไรไร้สาระก็ดูจริงจัง
ถ้าพี่พูดอะไรไม่มีเหตุผล พี่ก็จะถูกมองว่าเล่นๆ ไม่จริงจังไปเลย
แล้ว “ความรัก” มันก็ไม่มีเหตุผล
ทุกครั้งที่พี่พูดกับเรา มันก็คงจะดูเหมือนว่าพี่ทำเล่นๆ
ไม่จริงจัง ไม่จริงใจ … พี่เองก็ไม่รู้จะทำยังไงกับปัญหานี้เหมือนกัน

แต่พี่ก็พยายามทำด้วยการกระทำให้เห็นนะ
พี่ไม่เคยดูงานโค้ฟเวอร์ไหน ไม่เคยไปงานโค้ฟเวอร์ไหนเลยสักครั้ง
ที่พี่ไปทุกครั้งก็เพราะพี่จะไปหาเรานั่นแหละ
พี่ซื้อกล้องใหม่ ฝึกถ่ายรูป หัดถ่าย portrait ก็เพราะอยากจะถ่ายเราอ่ะ
พี่ทำทุกอย่างก็เพื่อเรา เพราะอยากจะเข้ามาใกล้เรา
อยากให้ใกล้พอที่จะได้ยินเสียงความต้องการของเรา จะได้ดูแลเรา
ความต้องการที่แม้แค่เสียงกระซิบให้พี่ได้ยิน พี่ก็อยากจะหามาให้
พี่เคยคิดว่าพี่ทำแล้วทุกอย่าง และพี่ก็บอกให้รู้ด้วยแล้วทุกอย่าง

แต่รู้มั้ย…พี่ก็คงจะพลาดไปจริงๆ
พี่อาจจะทำให้รู้ พี่อาจจะเคยพูดว่ารัก แต่คำนั่นก็เหมือนแค่คำพูดลอยๆ
สิ่งที่พี่ไม่เคยทำมาก่อนเลย ตั้งแต่วันแรกจนพี่เพิ่งจะได้ทำวันนี้
ก็คือบอก…บอกด้วยความรู้สึกในใจของพี่
ว่า…“พี่รักเรานะ”

     ฟังดูดีมั้ย…

     จบได้ดีมั้ย…

     เปล่าหรอก…

     ประโยคสุดท้ายผมไม่ได้พูดออกไป…

     เพราะมีเสียงหนึ่งพูดขึ้นก่อนว่า “เค้าก็ไม่รู้จะพูดไงนะ คือเค้าอ่ะรู้นะ รู้มาตลอดเหมือนกัน ว่ามีพี่ชายคนนึงดูแลเค้าอยู่อ่ะ เค้าก็ขอบคุณมาก ขอขอบคุณมากจริงๆ แต่เค้าก็ไม่รู้จะทำยังไงอ่ะ เค้าก็ไม่อยากให้เสียใจ…”

     “พี่เข้าใจครับ”

     ตอนนี้หัวใจของผมก็คงกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ ในความมืดที่ไหนสักแห่ง

Monday, February 20, 2012

ยังแก่ไม่ได้

พี่เอกกี้: น้องบี (นามสมมติ) อยู่ปีรัยแล้วอ่ะ? จะจบยังนะ?
น้องบี : ยัง…อยู่ปีสอง
พี่เอกกี้: อ่าว ไม่ใช่ปีสามหรอ งงรุ่นแล้ว
น้องบี : ย้ายมาจากมหาสารคามอ่ะ
พี่เอกกี้: อ่อ ก็ว่าทำไมช้าไปปีนึง นึกว่าพี่แก่แล้วหลงๆ ลืมๆ ซะอีก
น้องบี : เหอๆ
พี่เอกกี้: ยังไม่แก่เนอะ
น้องบี : สงสัยพี่เอกกี้จะแก่แล้วจริงๆ
พี่เอกกี้: เอ้ย…ยังดิ ยังแก่ไม่ได้ รอน้องเป็ดน้อย (นามสมมติ) อยู่
น้องบี : จร้า สวดยอด
พี่เอกกี้: ฮ่าๆๆ
น้องบี : แล้วน้องเขาว่าไงอ่ะ?
พี่เอกกี้: ว่าไงล่ะ? ก็ปีแรกบอกว่า “นั่นแหละๆ ทำใจเหอะ”
น้องบี : . . .
พี่เอกกี้: ปีที่ต่อมาบอกว่า “คนไม่ใช่ ยังไงมันก็ไม่ใช่อ่ะ”
น้องบี : . . .
พี่เอกกี้: ปีที่แล้วบอกว่า “ก็รักแบบพี่ชาย จะให้เค้าทำยังไงอ่าาาา”
น้องบี: . . .
พี่เอกกี้: เดี๋ยวปีนี้ก็ว่าจะถามใหม่ ฮ่าๆๆๆ
น้องบี : . . .
พี่เอกกี้ : จะให้จนเธอกว่าเธอจะรัก บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม…

น้องบี : 55555555555555555555
พี่เอกกี้: แต่คนไม่ได้อยู่ด้วยกันอ่ะนะ ก็คงยาก
น้องบี : . . .
พี่เอกกี้: แต่ไม่เป็นไรหรอก ก็เค้ารักของเค้าอ่ะ  (>///<
น้องบี : อิอิ

(ควันหลงวาเลนไทน์นิดๆ คัดลอกมาจากบทสนทนาจริงๆ บนเฟสบุค)

Tuesday, February 7, 2012

4 คำศักดิ์สิทธิ์

เชย, เยี่ยม, ยาก, ยอม

     หลายคนคงเคยได้ยินผมใช้ 4 คำนี้บ่อยๆ เรียกว่าเป็นคำติดปากผมเลยก็ได้ สำหรับคนอื่นที่ยังไม่รู้จักกันดี อาจจะคิดว่า “มันคิดอะไรของมันวะ” หรือ “หมายความว่าไงวะ” หรือ “ยังไงของมันวะ” แน่ๆ ถึงอย่างไรผมก็มีความเชื่อว่า คนที่รู้จักผมจริงๆ น่าจะเข้าใจกันดี

ผมมีนิสัยอยู่อย่างนึงที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย นั่นคือ ผมติดการอธิบายอย่างละเอียดละออ

     ครั้งหนึ่งมีน้องคนหนึ่งถามผมว่า “จะหาซื้อแฮนดี้ไดรฟ์อันใหม่ ควรเลือกความจุสักเท่าไหร่ดี” ผมกลับตอบแบบวิเคราะห์รายละเอียด ตั้งแต่ขนาดที่มีขาย, ช่องว่างของราคาในแต่ละช่วงความจุ, ความจุที่ผมแนะนำ, เหตุผลที่แนะนำความจุนั้น รวมไปถึงการยกตัวอย่างขณะใช้งานจริงๆ ปัญหาที่เคยเจอมากับตัว แล้วยังลากยาวไปถึงอธิบายลักษณะการเก็บข้อมุลของคอมพิวเตอร์ ที่เป็น FAT32และNTFS แถมด้วยข้อมูลการเก็บรักษาแฮนดี้ไดรฟ์ …ใช้เวลาอธิบายหลายนาที ทั้งๆ ที่สามารถตอบแค่ความจุที่แนะนำไปเท่านั้นจบ
     และอีกหลายต่อหลายครั้ง ที่เป็นแบบนี้… จนเคยมีคนพูดว่า

“แกจริงจังไปป่าว”
“หยุดวิชาการสักห้านาทีได้ป่ะ?”
“ขอย่อๆ ได้ป่ะ?”

     มีน้องคนนึงให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาว่า

     “พี่ก็ไม่ต้องให้เขารู้ทุกอย่างก็ได้ พี่ชอบสอนให้เขาคิดเอง ตัดสินใจเอง …แต่ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบพี่ ที่ต้องรู้ลึกถึงเหตุผลที่มา ลากยาวไปถึงต้นกำเนิดขนาดนั้น …คนส่วนใหญ่เขาต้องการรู้แค่คำตอบ คำแนะนำ จากพี่… หลายอย่างเขาไม่จำเป็นต้องรู้ไง แต่พี่ก็ชอบอธิบาย”

     ผมถึงได้ตระหนักว่า ก็คงเป็นจริงอย่างนั้น… การอธิบายสิ่งที่คนอื่นรู้สึกว่าไม่จำเป็น มันคงเป็นเรื่องน่าเบื่อมากเลย ผมจึงเริ่มที่จะพูดให้น้อยลง แสดงความเห็นแบบตรงๆ ไม่ใส่รายละเอียด ทำให้เกิด 4 คำติดปาก ที่ผมขอเรียกมันว่า 4 คำศักดิ์สิทธิ์ ของผม

     ทั้งสี่คำนั้น ผมใช้เพื่อหลีกเลี่ยงตัวเองจากการอธิบายอะไรที่มันยืดยาวเกินความจำเป็น เพราะทุกครั้งที่ผมเริ่มอธิบาย ผมมักจะเริ่มจากข้อยกเว้นเสมอ ทำให้พอเริ่มอธิบาย คนฟังจะตั้งคำถามขึ้นในทันที การอธิบายจึงต้องดำเนินต่อไป ต่อไป และต่อไป…
ถ้าโชคดี…คนฟังมีสมาธิอยู่ฟังจนจบ เราจะเข้าใจกันและเข้าใจว่าผมคิดละเอียดมากเพียงใด
ถ้าโชคร้าย…คนฟังไม่ว่าง หรือเบื่อเกินไป เราจะถูกตีตราว่าเป็นพวกคิดขวางโลก

…มันก็แล้วแต่คนจะมอง…

ผมได้เรียนรู้
ที่จะไม่พูดให้ละเอียดเกินไป
จนมากเกินความจำเป็นของคนฟัง

ผมได้เรียนรู้
ที่จะปล่อยให้คนอื่นได้คิดอย่างที่เขาต้องการ
ไม่อธิบายส่วนต่างที่เขายังไม่รู้ ยังไม่เห็น
เพราะคนส่วนใหญ่มักจะต่อต้านสิ่งที่คัดค้านความเชื่อเดิม
…คนเคยเข้าใจ มาทำให้งงทำไมวะ…

ผมได้เรียนรู้ที่จะ
พูด “เชย” แทนการพูดขวางโลก หรือขัดแย้งจนคนอื่นต่อต้าน
เพราะผมมักอธิบายข้อยกเว้นที่มันก็มีในทุกๆ สิ่ง ว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นมันไม่ได้ถูกต้องทุกกรณี
พูด “เยี่ยม” แทนการอธิบายว่าคุณดีอย่างไร ถูกอย่างไร
และยังเป็นการเบรกแสดงมุมมองที่แตกต่าง ว่าสิ่งที่เห็นว่าดี มันย่อมมีผลกระทบด้านร้ายด้วยเช่นกัน
พูด “ยาก” แทนการต้องอธิบายรายละเอียดทุกขั้นตอน
เพราะทุกสิ่งมันเป็นไปได้สำหรับผม สิ่งที่ทำไม่ได้จึงไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำยากต่างหาก

และ

พูด “ยอม”
แทนความรู้สึกทั้งหมดของผม
ว่าผมไม่เคยคิดต่อต้าน ดูถูก หรือเชิดชูตัวเองเหนือใคร

ด้วยความเชื่อสูงสุดในชีวิตผมคือ

“ทุกคนเป็นผู้หวังดี คิดดี ตั้งใจดี และเป็นคนดี”