Tuesday, November 15, 2011

เด็กควรมีพัฒนาการที่เหมาะสม (Rewrite)

          เมื่อสองปีก่อนผมเคยเขียนหัวข้อนี้ใน eakkycu.spaces.live.com ตามที่บันทึกไว้ผมโพสบทความเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นการเขียนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากPoysianz เป็นเรื่องราวของความคิด/วีรกรรมของผมตั้งแต่อนุบาลจนถึงม.๒ ผมลองอ่านๆ ดูแล้วเห็นว่าเข้าที วันนี้ก็เลยเอามาเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง

ตอนอนุบาล
- เคยร้องไห้ตอนกินข้าวกลางวัน เพราะคุณครูบังคับให้กินหมู (เดี๋ยวนี้เขี่ยผักทิ้ง)
- ก่อนกลับบ้านจะมีเต้นๆ ร้องเพลง คุณครูร้องเพลงแล้วถามว่า "ม้าร้องยังไง" ผมก็ร้องตะโกนเสียงดังว่า "ฮี้ฮี้~" ด้วยความภูมิใจว่าตัวเองเป็นเด็กอัจฉริยะมาก
- ไม่ได้เรียนอนุบาล ๒ คือ เรียนอนุบาล ๑ แล้วขึ้นอนุบาล ๓ เลย
- เคยคิดว่าพ่อกะแม่ไม่รัก เลยเอาไปทิ้งไว้กับคุณครู
- เคยไม่ยอมไปโรงเรียน แล้วแม่บอกว่า "คุณครูใช้กล้องส่องทางไกลดูอยู่นะ" ด้วยความที่กลัวคุณครูมากเลยรีบแต่งตัว หยุดร้องไห้ แต่ยังคงสะอื้นไปโรงเรียน
- ติดรายการเจ้าขุนทองมากๆ โดยเฉพาะเพลงที่ร้องว่า “ร่มใบบัง เขียวชะอุ่มรำไร กระโดดเริงใจหากินได้เปรมปรี ชีวิตแสนสบายอยู่กันมาแสนนาน ใต้ร่มไม้เขียวครึ้มเย็น…ป่ามีความรักความสุขมานาน พึ่งพิงอิงพักมาแต่โบราณ เราสำราญอยู่กันมาแสนนานใต้ร่มไม้เขียวครึ้มเย็น…ป่านี้เป็นของเราทุกคน เคยอุ้มชูการุณหลายปี เรารักต้นไม้นานา จะรักษาให้ดีรักป่าที่เราอาศัย ฯ” ฮ่าๆๆ เป็นเด็กรักธรรมชาติ
- ตอนสอบเลขคณิตคิดในใจ เคยตะโกนคิดดังๆ "เอา ๓ ไว้ในใจ ชูขึ้นมา ๔ นิ้ว นับต่อจาก ๓ ที่อยู่ในใจ ๓ แล้วต่อไปเป็น ๔ ๕ ๖ ๗…ตอบเจ็ด" ทำให้เพื่อนทั้งห้องได้ยินแล้วเขียนคำตอบตามกันหมด คุณครูก็เลยลากออกจากห้อง ให้ไปนั่งรอที่ห้องอื่น สุดท้ายก็ต้องไปสอบคนเดียวตอนเย็นๆ
- อยากได้รองเท้านักเรียนใหม่ เพราะอยากได้หุ่นยนต์ที่มันแถมมากับรองเท้า
- เคยได้เต้นโชว์ในงานสมเด็จพระเจ้าตากสินที่โรงเรียน เต้นเพลงแมงมุมของคริสติน่าซะด้วย ภาคภูมิใจซะเหลือเกิน

ตอนป.๑
-
ได้เรียนชั้นล่างของตึก ทำให้คิดว่าถ้าขึ้นป.๒ จะได้เรียนชั้น๒ ทุกวันที่ไปโรงเรียนก็เลยพยายามมองหาชั้น๓ ชั้น๔ ว่ามันอยู่ตรงไหน ทั้งๆ ที่โรงเรียนมีอาคารเรียนแค่ ๒ ชั้น เพราะกลัวว่าพอขึ้นป.๓ แล้วจะหาห้องเรียนไม่เจอ
- ตอนสอบวิชาเขียนไทย คุณครูจะอ่านคำศัพท์ไทยแล้วให้เราเขียนสะกดให้ถูกต้อง เคยเขียนคำว่า "ธี่พัก" แล้วครูก็ให้ผิด แต่ไม่ยอมเลยไปฟ้องครูว่าเวลาครูออกเสียงให้เขียนอ่ะ ครูออกเสียงเป็น ธ ธง ไม่ใช่ ท ทหาร
- น้าเล่นกับน้องอยู่ แล้วน้าแซวผมว่า “พี่เอกเป็นหมาหัวเน่าแล้ว” ก็เลยวิ่งไปหาอาม่าให้ดูหัวให้ว่ามีอะไรติดอยู่ เพราะไม่เข้าใจว่าหมาหัวเน่าคืออะไร
- หลังจากสงสัยว่าหมาหัวเน่าคืออะไร เลยแอบไปถามคุณพ่อ คุณพ่อบอกว่า "แปลว่า เด็กที่ไม่มีคนรักแล้วไง แบบลูกหมาที่แม่มันทิ้งนั่นแหละ" หลังจากนั้นผมก็เลยซึมไปเป็นอาทิตย์ ไม่พูดไม่จากับใครแถมยังเกลียดน้องมาก จนโดนคุณแม่ตีแล้วถามว่าทำไมชอบแกล้งน้อง ถึงได้บอกไปว่า "ก็น้าบอกว่าเอกเป็นหมาหัวเน่า" แล้วก็ร้องไห้หนีไปกอดอาม่า…สุดท้าย อาม่าก็เลยเรียกให้น้ามาขอโทษ ฮ่าๆๆ (สมน้ำหน้า จะพูดอะไรกับเด็กต้องระวังเหมือนกันนะ)

ตอนป.๒
- คุณครูประจำชั้น (คุณครูสดใส) ได้ออกรายการ "รักลูกให้ถูกทาง" แล้วมาบอกในห้องเรียนตอนเช้าว่าให้ดูรายการนั้นด้วย พอกลับบ้านผมเลยบอกแม่ว่าต้องดูโทรทัศน์เพราะครูให้เป็นการบ้าน แต่แม่เปลี่ยนช่อง ผมเลยร้องไห้เพราะกลัวว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้คุณครูถามแล้วจะตอบไม่ได้ (คิดว่าจะมีการบ้านอยู่ในรายการ)
- การทำการบ้านวิชางานประดิษฐ์ และวิชาศิลปะ คือวิชาที่เก็บเอางานมาให้คุณพ่อกับคุณแม่ที่บ้านช่วยทำแล้วเอาไปส่ง
- วิชาคัดไทยและคัดอังกฤษ เป็นวิชาที่มีเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อคัดหนังสือแค่ ๑ หน้าแต่ก็ทำแทบไม่ทันทุกชั่วโมง
- เคยเอาตะปูจากข้างบ้านซึ่งเป็นช่างทำรองเท้า ไปวางบนทางรถไฟหน้าบ้านแล้วโดนอาม่าตี อาม่าบอกว่า "เดี๋ยวรถไฟยางแตก ตกรางนะ" ร้องไห้ไปแป้บนึง แต่พอรถไฟวิ่งผ่าน ก็วิ่งไปดูผลงานแล้วก็เถียงอาม่าในใจว่า "รถไฟยางไม่แตกซะหน่อย ทับซะตะปูแบนเลยเนี่ยะ" ตั้งแต่นั้นมาก็ลองเอาอะไรไปวางอีกเยอะ (เด็กๆ ไม่ควรเลียนแบบนะ ฮ่าๆๆๆ)

ตอนป.๓
- เคยคิดว่าตัวเองวิ่งเร็วที่สุดในโลก เพราะวิ่งกลับบ้านแล้ววิ่งแซงมอไซที่วิ่งในซอย
- บ้าขบวนการเรนเจอร์มากๆ เคยคิดว่าโตขึ้นจะซื้อหุ่นยนต์มาขับเล่น
- ถูกรุ่นพี่ที่เป็นเวรสารวัตรนักเรียนจับให้นั่งพนมมือเป็นการทำโทษ เพราะเล่นวิ่งไล่จับแล้วไปกระโดดข้ามยางที่เด็กผู้หญิงเขาเล่นกันอยู่ หลังจากนั้นมากก็ไม่กล้าวิ่งเล่นอีกเลย
- เป็นครั้งแรกที่สงสัยว่าทำไมต้องสวดมนตร์เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่รู้ว่ามันมีความหมายอะไร แล้วคุณครูบอกว่าเพราะศาสนาพุทธมีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย ทำให้คิดว่าที่ท่องอยู่เป็นภาษาอินเดีย
- ใส่ชุดลูกเสือแล้วคิดว่าตัวเองมีญาณวิเศษมองเห็นอนาคตได้ เพราะตอนเรียนมาหมวกลูกเสือสำรองป.๑ จะมีหนึ่งดาว ครูบอกว่าเหมือนลูกเสือเปิดตาข้างนึง พอขึ้นป.๒ ก็มีสองดาว ป.๓ เลยคิดว่ามีตาที่สาม เป็นเทพสามตา หยั่งรู้อนาคต
- เคยถูกทิ้งไว้ที่โรงเรียนถึงสองทุ่มครึ่ง เพราะอาม่าคิดว่าแม่ไปรับ แม่คิดว่าพ่อไปรับ และพ่อก็คิดว่าอาม่าไปรับ ก็เลยไม่มีใครมารับสักคน ทำให้เป็นครั้งแรกที่การจำเบอร์โทรศัพท์บ้านมีประโยชน์ ตอนนั้นหิวมากด้วย คุณครูให้กินทุเรียนซึ่งเป็นอะไรที่เกลียดมาก แต่ก็กินไปร้องไห้ไป เป็นช่วงเวลาที่น่าสงสารที่สุดในชีวิตแระ

ตอนป.๔
- ลืมเอาเสื้อพละไปโรงเรียน ต้องรวบรวมความกล้ามากเพื่อขอคุณครูโทรศัพท์กลับบ้านให้พ่อเอามาให้ แต่ว่าไม่กล้า ก็เลยร้องไห้ไปหาคุณครู
- ทำการบ้านตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงสี่ทุ่มทุกวัน เพราะคุณครูให้การบ้านเยอะมาก ไม่มีเวลาเล่นเลย
- การติดแอร์ที่บ้าน เป็นเรื่องที่หรูมาก สามารถคุยโวได้เป็นเดือน "บ้านเราติดแอร์ด้วยแหละเธอ~" เพื่อนๆ สนใจกันทั้งห้อง เป็นอะไรที่ประหลาดมาก
- เป็นอีกครั้งที่สงสัยว่าตอนเป็นลูกเสือสำรอง ทำไมต้องร้อง "อาเคล่า เราจะทำดีที่สุด" แล้วกระโดดๆ ชูสองนิ้ว (สงสัยทั้งๆ ที่เมื่อปีที่แล้วก็ยังทำอยู่เลย) เพื่อนให้คำตอบว่า "ก็เพราะเป็นเมาคลีลูกหมาป่าไง ตอนเรียนครูก็สอน" เลยรู้สึกเหมือนโดนด่าว่าไม่ตั้งใจเรียน ก็เลยเลิกถามเรื่องลูกเสือตั้งแต่นั้นมา

ตอนป.๕
- เอากล้องถ่ายรูปไปโรงเรียนตอนปีใหม่ เพื่อจะถ่ายรูปคุณครูและเพื่อนๆ ที่โรงเรียน สมัยนั้นมีแต่กล้องฟิล์ม ปกติถ้าเป็นกล้องอัตโนมัติ เวลาถ่ายจนหมดม้วนแล้วมันจะกลอกลับให้เองเรียบร้อย ...แต่กล้องที่คุณแม่ให้เอาไปโรงเรียนเป็นกล้องถูกๆ ที่หมุนฟิล์มเองแล้วถ่าย พอถ่ายจนหมดม้วนแล้วก็ไม่รู้ว่าจะให้มันกลอยังไง เลยถามเพื่อนว่าทำยังไง เพื่อนมันก็เปิดด้านหลังที่ใส่ฟิล์มไว้ออกมา แล้วนั่งม้วนฟิล์มกลับเข้าไปเอง พอเอาฟิล์มไปล้าง เขาก็บอกว่าเสียหมด เลยเล่าให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อเอาไปบอกครู เพื่อนคนนั้นก็เลยโดนครูตี
- ได้เป็นเวรทำหน้าที่สารวัตรนักเรียนบ้าง เลยแก้แค้นกับรุ่นน้อง เห็นใครวิ่งๆ จับมานั่งพนมมือหมด
- เกลียดการเข้าห้องสมุดเป็นที่สุด เพราะเข้าแล้วไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ก็ถูกบังคับด้วยกฎว่าต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีโต๊ะให้นั่ง (แต่พอมัธยมห้องสมุดกลายเป็นที่สิงสถิตของผมซะงั้น)
- เคยเขียนจดหมายลาตายพร้อมให้มรดก ยกเกมกดให้น้อง เพราะเป็นอีสุกอีใสแล้วเพื่อนบอกว่าเป็นเอดส์
- ตอนหยุดเรียนที่เป็นอีสุกอีใส ดูแผลแล้วมันมีน้ำๆ เหมือนแผลไฟไหม้ เลยเอาเข็มจิ้มๆ แล้วแกะแผลดู ข้างในมีสะเก็ดน้ำตาลๆ ทำให้เข้าใจเอาเองว่าทำไมถึงเรียกว่าอีสุกอีใส พอไปบอกเพื่อน เพื่อนมันบอกว่าจิงหรอๆ แกะดูด้วยหรอ…สงสัยกันใหญ่
- เล่นสเกตบอร์ดครั้งแรก เพราะโดนอาม่าบอกให้ลองเล่น สงสัยจะกลัวว่าหลานจะเป็นตุ๊ด เห็นขี้แย ร้องไห้ประจำ พอจะเล่นเป็นแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็พาไปซื้อ... แต่พอเล่นแล้วก็ไม่เห็นสาวๆ จะสนใจเลย พอขึ้นม.๑ ปรากฎว่ากระแสของลอเลอร์สเกตมาแรงกว่า แต่ผมเล่นเป็นแต่สเกตบอร์ด ก็เลยดูเป็นเด็กแนวซะงั้น

ตอนป.๖
- ได้นำสวดมนตร์คู่กับเพื่อน แล้วแข่งกันเสียงดังที่สุดเพื่อนให้เด่นกว่าอีกคน
- เรียนสังคม คุณครูเล่าเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องนรก สวรรค์ ตอนนั้นรู้สึกว่าเรื่องนรกน่ากลัวมาก แต่เพื่อนมันฮากันทั้งห้อง จำได้ว่าเขียนใส่ในสมุดจดการบ้านเลยว่า "เพื่อนแม่งซาดิสชิบเป๋ง" ฟังเรื่องปีนต้นงิ้วหนามๆ มีหอกแทงๆ ข้างล่าง ปีนไปข้างบนมีนกกาจิกเนื้อ จิกตา มีลงกระทะทองแดง ทอดๆ ดิ้นทุรนทุราย.... เพื่อนๆ มันทนฟังกันได้ไงฟะ!!!! สาดดดดดดดดดด ซาดิสมากๆ
- เคยแอบขึ้นไปเป็นตัวแทนร้องเพลงปีใหม่ทั้งๆ ที่ไม่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทน
- เล่นบาร์โหนในโรงเรียน แล้วสามารถไต่จากฝั่งนึงมาอีกฝั่งนึงสำเร็จเป็นครั้งแรก
- ได้ไปเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดประยูร สอบไล่ได้ที่ ๑ ที่ ๒ ตลอด ทำให้คิดว่าตัวเองเก่งมากๆ ถ้าเทียบกับโรงเรียนอื่น แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ความหมายของบทสวดมนตร์ที่ท่องมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่นี่สวดแล้วแปลด้วย!!
- เรียนธรรมศึกษา และได้สอบธรรมสนามหลวง ได้เป็นนักธรรมตรี ภาคภูมิใจที่สุด
- ตอนที่ไปนมัสการพระอาจารย์ที่วัดประยูร โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ พระอาจารย์กำลังติวหนังสือให้พี่ม.๒ แล้วมีการทดสอบสมาธิให้คิดเลขในใจ ผมกับคุณพ่อกำลังคุยอยู่กับพระอาจารย์อีกรูปอยู่ เห็นตอบไม่ได้กันแล้วโวยวายเสียงดัง เลยตะโกนคำตอบไปด้วยความรำคาญ ตะลึงกันหมด!!! พระอาจารย์ก็เลยตั้งโจทย์ใหม่ให้คิดในใจเล่นๆ ต่อ
- ตกหลุมรักสาวครั้งแรก ชื่อ "พร" เรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์เหมือนกัน ผมเด่นเรื่องเรียน ส่วนพรเก่งเรื่องดนตรีไทย รำไทย จำได้ว่าแค่เห็นหน้าก็เขินแล้ว และตอนมีงานสงกรานต์ มีการแสดง มีแข่งขันตอบปัญหา คุณพ่อกับคุณแม่ก็เข้าไปคุยกับแม่ของพรตอนที่จบการแสดงด้วย ผมก็เลยได้ถ่ายรูปกับพรด้วย (ตอนนี้ไม่รู้รูปยังอยู่ป่าว ฮ่าๆๆ)
- ไปเข้าค่ายลูกเสือ แล้วโดนคุณครูตีตอนเช้า เพราะเพื่อนกินขนมตอนกลางคืนแล้วไม่เก็บให้เรียบร้อย แต่เพราะเป็นหัวหน้าหมู่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นพอปล่อยพักตอนเช้าก็กลับไปที่ห้องพัก ทำความสะอาดคนเดียวแล้วก็แอบร้องไห้ แต่เพื่อนมันก็รู้เลยมาขอโทษกันทั้งหมู่
- เคยแอบรวมกลุ่มกับเพื่อนก่อตั้งชมรมลึกลับคิดภาษา "สุรสิทธิ์" ซึ่งมาจากชื่อ เอกสิทธิ์ กับ สุรชัย (สิ้นคิดมากๆ) เป็นภาษาที่เขียนด้วยสัญลักษณ์ประหลาดๆ ที่เข้าใจกันเองในกลุ่มเพื่อนสนิท สามคน แล้วส่งโน๊ตไปมาข้ามห้องกันโดยถ้าหากคุณครูจับได้ก็ไม่รู้ว่ากระดาษนั่นมีสัญลักษณ์หมายถึงอะไร แถมมีท่าทาง/อิริยาบถสำหรับตัวเลข ๐-๙ และตัวอักษร ก-ง คือ ยกมือขึ้นเกาหัวหมายถึง ก., วางปากกาลงข้างกระดาษคำตอบหมายถึง ข., เอามือจับคางทำท่าคิดๆ หมายถึง ค., ใช้ยางลบดินสอหมายถึง ง.  เรียกได้ว่าถ้าจะทุจริตการสอบก็ทำได้สบายๆ ชมรมนี้มีผมเป็นประธานชมรม มีสุรชัยเป็นรองประธาน แบบตั้งๆ กันเอง แล้วพอเรียนจบป.๖ ก็ไม่น่าเชื่อว่าพอนับๆ สมาชิกดูแล้ว ก็มีสมาชิกในชมรมเป็นสิบๆ คน (เรื่องนี้คุณแม่เคยจับได้เพราะเห็นรายชื่อชมรม แล้วคุณแม่มาถามว่าชมรมอะไร? แต่ผมบอกไปว่า ไม่มีอะไรแค่เขียนเล่นๆ เฉยๆ เพราะกลัวว่าแม่จะรู้ว่ากำลังคิดการส่งซิกในห้องสอบอยู่ แล้วจะเอาไปฟ้องครู)
- ในสมุดโทรศัพท์มีเบอร์โทรดารานักร้องเยอะมาก มีเบอร์เพจเจอร์ด้วย เพราะลอกมาจากสมุดโทรศัพท์เพื่อนที่มีแม่ทำงานที่ค่าย RS เพราะคิดว่ามีเบอร์ดาราแล้วเท่

ตอนม.๑
- ได้ย้ายโรงเรียนเป็นครั้งแรก ซึ่งโควต้าโรงเรียนใกล้บ้านที่สามารถจับฉลากเข้าได้ มีแค่โรงเรียนศึกษานารี ดังนั้นผมจะเข้าเรียนที่ไหนก็ต้องสอบเข้าสถานเดียว
- สมัครสอบเข้าที่สวนกุหลาบ แต่ไม่ติด (ก็เพราะไม่ได้อ่านหนังสือ) ทำให้พ่อแม่วุ่นวายใจมาก กลัวลูกจะไม่มีที่เรียน แต่ในความวุ่นวายของพ่อแม่ ผมก็ยังคงนั่งเล่นเกมอยู่บ้านอย่างสนุกสนาน อารมณ์ประมาณว่าไม่มีที่เรียนก็ไม่ต้องเรียน
- สุดท้ายได้เข้าเรียนโรงเรียนวัดราชบพิธ โรงเรียนชายล้วนอีกโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยอยู่ห้องม.๑/๗ ซึ่งเป็นห้องที่ถูกเรียกว่า "เด็กเกลี่ย"  เพราะถูกเกลี่ยมาจากเด็กที่สอบไม่ติดสวนกุหลาบ
- ห้องเด็กเกลี่ย เป็นห้องที่เรียนดีที่สุดในระดับชั้น ภาคภูมิใจยิ่งนัก
- วิชาสังคมเป็นวิชาที่อาจารย์เล่าประวัติศาสตร์ได้น่าสนใจที่สุดในโลก ประหนึ่งกำลังอ่านนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริง ผมเพลินมากถึงขนาดเขียนคำพูดของอาจารย์ลงในหน้าหลังสุดของสมุดได้ประมาณหนึ่งหน้าต่อวัน
- วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่เด็กๆ นั่งนับคำว่า "นะ" ของอาจารย์ แล้วทำบันทึกเป็นสถิติ พบว่าแต่ละคาบ อาจารย์พูดคำว่า "นะ" เฉลี่ยแล้ว ๕ ครั้งต่อนาที
- ผมได้รับรางวัลเป็นขนมห่อใหญ่จากอาจารย์ที่สอนสังคม เนื่องจากส่งการบ้านแล้วอาจารย์เห็นที่จดด้านหลังสมุดเป็นหน้าๆ อาจารย์ประทับใจสุดๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนเลคเชอร์เรื่องที่เขาเล่า
- มีเพื่อนสนิทชื่อ "สมยศ" เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ขาวๆ น่ารักมาก โดนเพื่อนชื่อ "สาธิต" แกล้งเป็นประจำ ผมเห็นบ่อยๆ ก็ทนไม่ไหว สงสารมากก็เลยแอบไปฟ้องอาจารย์ สาธิตโดนอาจารย์ตีด้วยไม้ที่ใช้เรียนกระบี่กระบอง ร้องไห้ในที่สุด
- วิชาศิลปะและงานประดิษฐ์ก็ยังคงเป็นวิชาที่งานมาให้แม่ทำให้อยู่ดี
- แต่งกลอนวันสุนทรภู่ ๓ บทส่งประกวด จำได้ว่ามีเนื้อหาท่อนที่บอกว่าสุนทรภู่ติดเหล้า แล้วมีเมียหลายคนด้วย (มันสรรเสริญสุนทรภู่ตรงไหนฟะ) ตอนแรกคิดว่าจะแต่งเล่นๆ แต่เพื่อนยุว่า “ส่งดิ! ส่งดิ!” อาจารย์ประจำชั้นสนใจอยากอ่านเลยคว้าไปจากมือ อาจารย์อ่านแล้วมองหน้า สบตาสามที แล้วถอนหายใจ แต่อาจารย์ก็รับไป (คาดว่าจะเอาไปให้อาจารย์คนอื่นอ่านให้ฮาๆ ล่ะมั้ง)
- ได้ถือป้ายในกีฬาสี แต่งตัวเป็นกุมารทองอวบอ้วนน่ารัก แต่งหน้าทาปากซะแดง

ตอนม.๒
- ได้ย้ายห้องโดยมีการแบ่งตามผลการเรียน ผมก็เลยได้มาอยู่ห้อง 1
- ที่บ้านมีอินเตอร์เนตใช้ครั้งแรก URL แรกที่เข้าไปคือ www.ch7.com
- วิชาว่ายน้ำเป็นวิชาบังคับที่เกลียดที่สุด เพราะอาจารย์ชอบเรียกว่า "อ้วน!! มานี่  ลงน้ำ" ฝังใจมาก แถมเป็นโรงเรียนชายล้วนจึงไม่ได้มีผู้หญิงให้มอง มีแต่พวกเทยที่ยืนปิดนม
- สมยศลาออกจากโรงเรียน ผมก็เลยได้มีเพื่อนใหม่ ชื่อ "ยุติ" แต่พวกผมและเพื่อนๆ เรียกกันว่า "ยุ้ย" แถมยังชอบนั่งร้องเพลงของแคลชกันเป็นประจำ ทีมฟุตบอลที่ชอบคือ “ลิเวอร์พูล” ตอนมีแข่งฟุตซอล ยุติจะได้เสื้อเบอร์ 10 เป็นศูนย์หน้าประหนึ่ง Michael Owen ส่วนผมได้เสื้อเบอร์ 4 เป็นกองหลังประหนึ่ง Sami Hyypia
- การเรียกเพื่อนโดยใช้ชื่อพ่อ ชื่อแม่ เป็นเรื่องสนุกอย่างยิ่ง

==========
การบรรยายของผมก็จบลงแต่เท่านี้ เพราะยิ่งเขียนมันยิ่งใกล้ตัว ยิ่งเริ่มไม่เด็กแล้ว เพราะงั้น ก็เลยขอจบบทความไว้แต่เพียงม.๒ นี้เอง

ปล. ถ้าทุกคนได้อ่านจนจบ ก็จะเข้าใจความหมายของชื่อบทความนี้

No comments: