Tuesday, November 1, 2011

กาลามสูตร 10

“จิตที่มีอคติ เป็นจิตที่มัวหมอง จักขุ่นด้วยริษยา
จิตที่มีแต่ฉันทะ ก็เป็นจิตที่มืดบอด จักเหมือนเช่นคนเขลา
... ... ... ...
จิตแห่งปราชญ์ พึงใช้กาลามสูตรทั้งสิบ แลปัญญา ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”

โดย เอกกี้ (30 ตุลาคม พ.ศ.2554)

     กาลามสูตร เป็นพระสูตรหนึ่งในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แท้จริงแล้วปรากฎเป็นชื่อพระสูตรว่า “เกสปุตตสูตร” ตามชื่อสถานที่ที่พระพุทธเจ้าไปแสดงธรรม คือ “เกสปุตตนิคม” แต่เหตุที่ผู้คนในตำบลนี้ ล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากกาลามโคตรทั้งสิ้น บ้างจึงเรียกพระสูตรนี้ว่า กาลาสูตร เพราะขานได้ง่ายกว่า

     พุทธประวัติตอนนี้โดยย่อ คือ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เกสปุตตนิคม มีชาวบ้านผู้หนึ่งเข้าเฝ้าแลทูลถามว่า
     “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้ มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่างๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆ และสมณพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาอื่น จากนั้นสมณพราหมณ์เหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป ครั้นต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์พวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้ แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตนแต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาอื่น…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่”
     พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสด้วยความเห็นใจชาวบ้านว่า

     “ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย
มา อนุสฺสเวน (อย่าได้ฟังตามกัน)
มา ปรมฺปราย (อย่าได้ปฏิบัติสืบต่อกัน)
มา อิติกิราย (อย่าเล่าลือ)
มา ปิฏกสมฺปทาเนน (อย่าอ้างตำราหรือคัมภีร์)
มา ตกฺกเหตุ (อย่าใช้ตรรกะ)
มา นยเหตุ (อย่าคิดอนุมาน)
มา อาการปริวิตกฺเกน (อย่าแสดงเหตุแสดงผล)
มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา (อย่าพินิจทฤษฎีไว้ก่อน)
มา ภพฺพรูปตาย (อย่าพิจารณาแต่รูปลักษณ์ภายนอก)
มา สมโณ โน ครูติ (อย่าทำตนเป็นสมณะผู้หยั่งรู้)”

มหาสถูปแห่งเกสปุตตนิคม
ภาพมหาสถูปเกสปุตตนิคม ปัจจุบันเรียกว่า มหาสถูปแห่งเกสริยา
(ภาพจาก bloggang.com)

     ในปัจจุบันมีการแปลกาลามสูตรในแง่ของ "การเชื่อ" เป็นหลัก ผมคาดว่าน่าจะเป็นการแปลแบบ “ช่วยสรุปให้” การแปลในปัจจุบันจึงเห็นกันทั่วไปสามลักษณะคือ อย่าเชื่อ, อย่าเพิ่งเชื่อ และ อย่าปลงใจเชื่อ ซึ่งทุกท่านสามารถหาอ่านได้ทั่วไป

     แต่ความเห็นส่วนตัวของผมเอง คำว่า "มา" ภาษาบาลีในองค์ธรรมนี้ หมายถึง "อย่า" ผมอยากให้ทุกคนลองแปลด้วยคำว่า "อย่า" เฉยๆ จะได้ให้ความหมายในทำนองว่า อย่าปฏิบัติ หรือ อย่าคิด ซึ่งน่าจะเป็นคำสอนที่รักษาเนื้อหา และแนวคิดของต้นฉบับเดิมมากกว่า ดังที่ได้เขียนไว้แล้วในวงเล็บข้างต้น

No comments: